คำถามเรื่องลับ - TopicsExpress



          

คำถามเรื่องลับ "อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดไวท์ ไอเซนเฮาว์" หายไปไหน ??? กับ >>>>>>>>>>>(สิ่งมีชีวิต นอกโลก)!!!! คำถามเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวหรือยานอวกาศเป็นสิ่งที่มนุษย์เราพยายามที่จะแสวงหาคำตอบว่าตกลงสิ่งดังกล่าวมีอยู่จริงหรือไม่ พวกที่ไม่เชื่อก็หาว่าพวกที่เชื่องมงายและตาฝาด จินตนาการไปเองหรือแม้กระทั้งตกแต่งภาพเพื่อทำให้คนเชื่อ ส่วนพวกที่เชื่อก็บอกว่าไอ้สิ่งที่เห็นมีมานานแล้ว และบางทีอาจเกี่ยวพันกับอารยะธรรมโบราณในอเมริกาใต้หรืออียิปต์เลยทีเดียว และที่ดูน่าจะเชื่อถือกว่านั้นคือ ฝ่ายที่เชื่อได้ให้เหตุผลว่าประเทศต่างๆ ได้แอบเก็บงำความลับเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว เช่น การติดต่อสื่อสาร การทดลองกับร่างมนุษย์ต่างดาว หรือเก็บยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวไว้ในพื้นที่ลับ และสหรัฐอเมริกาเองดูจะเป็นประเทศที่ถูกสงสัยมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการเล่าลือกันว่ารัฐบาลได้จัดสรรสถานที่ลับไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ รู้จักกันดีในนามของพื้นที่ที่ ๕๑ (Area 51) สิ่งต่างๆเหล่านี้คนที่รู้ดีที่สุดเห็นจะหนีไม่พ้นกับหัวหน้าใหญ่อย่างท่านประธานาธิบดีที่จัดสรรเงินทุนให้ในการค้นคว้าทดลองสิ่งเหลือเชื่อเหล่านี้ ความจริงแล้วมีการเล่าลือกันว่าอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดไวท์ ไอเซนเฮาว์ (Dwight Eisenhower) เคยจ๊ะเอ๋กับเอเลี่ยนด้วยเมื่อกลางทศวรรษที่ ๑๙๕๐ จะจริงไม่จริงอย่างไรกระผมขอเรียนรับใช้แฟนานุแฟนต่วยตูนทุกท่านตามนี้ครับ พวกที่เชื่อในทฤษฎีสมคมคิด (Conspiracy theory) เชื่อว่าเมื่อ ค.ศ.๑๙๕๔ ประธานาธิบดีไอเซนเฮาว์ได้เผชิญกับมนุษย์ต่างดาว เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่าท่านประธานาธิบดีได้รับแจ้งอย่างเร่งด่วนให้ท่านออกเดินทางเพื่อไปพบกับมนุษย์ต่างดาว ซึ่งอย่างที่รู้ว่าคนเป็นประธานาธิบดีก็มักจะยุ่งอยู่ตลอดเวลา และมักจะไม่ทำอะไรนอกจากกำหนดที่ได้จัดมาอย่างเป็นระบบระเบียบ แต่คราวนี้เห็นต้องมีข้อยกเว้น เพราะสิ่งที่ท่านได้รับแจ้งเป็นสิ่งที่ท่านเองก็คงจะไม่เชื่อหูตัวเอง เนื่องจากปลายสายที่ว่าขอให้ท่านย้ายตัวจากทำเนียบขาวมาดูยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวและเศษซากที่ตกลงมา รวมไปถึงได้พบปะฉันท์มิตรกับสิ่งมีชีวิตนอกโลกด้วย และสถานที่ที่ถูกอ้างอิงว่าเป็นที่แอบพบปะกันระหว่างท่านกับเพื่อนมนุษย์ต่างดาวก็คือฐานทัพอากาศเอ็ดเวิร์ดส์ (Edwards Air Force Base) แคลิฟอร์เนีย เรื่องราวนี้เกิดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๗-๒๔ กุมภาพันธ์ ค.ศ.๑๙๕๔ ระหว่างที่ท่านประธานาธิบดีกำลังอยู่ในงานเลี้ยงที่ปาล์ม สปริงค์ แคลิฟอร์เนีย ท่านได้หายตัวไปอย่างรวดเร็วในค่ำของวันเสาร์ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์เมื่อบรรดาสื่อมวลชนรู้ว่าท่านประธานาธิบดีไม่ได้อยู่ในที่ที่ควรอยู่ตามกำหนดการ แต่ดันหายตัวไปกลางครัน ดังนั้นพวกนักข่าวจึงต้องการคำอธิบาย เพื่อที่จะตอบคำถามตามที่มีข่าวลือกัน หัวหน้าฝ่ายสื่อมวลชนของทำเนียบขาว คือนายเจมส์ แฮกเกิร์ตตี (James Hagerty) ได้จัดแถลงข่าวให้สื่อมวลชนทราบว่าท่านประธานาธิบดีปวดฟันเนื่องมาจากฟันหักระหว่างที่ทานดินเนอร์ที่มีไก่เป็นเมนู และท่านต้องไปให้ทันตแพทย์ท้องถิ่นดูอาการทันที คำแถลงของท่านหัวหน้าสื่อมวลชนดูจะมีเหตุผล แต่ว่าเมื่อ ค.ศ.๑๙๗๙ หรือ ๒๕ ปีถัดมาเรื่องที่กุไว้จะแดงออกมา เมื่อภรรยาของหมอฟันคนดังกล่าวยืนยันว่าในช่วงเวลาดังกล่าว สามีหมอของหล่อนไม่ได้รักษาฟันให้ใครเลย และคราวนี้เองเรื่องที่ลือกันตั้งแต่ต้นเริ่มกลับเข้ามาเป็นที่ลือกันรอบใหม่และยังลือกันมาจนถึงทุกวันนี้ และที่น่าสนใจไปยิ่งกว่านั้น เรื่องที่ลือกันดูว่าจะเชื่อกันเข้าไปอีก เมื่อบันทึกในห้องสมุดไอเซนเฮาว์ซึ่งเป็นที่เป็นที่เก็บเอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของท่านประธานาธิบดี ซึ่งให้ข้อมูลไว้ว่าท่านเองไม่เคยมีประวัติการรักษาฟันเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.๑๙๕๔ เลย และหลักฐานอีกอย่างที่เพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อของข่าวลือก็คือ ปกติหลังจากที่จัดงานเลี้ยงเสร็จแล้ว ท่านประธานาธิบดีก็จะต้องมีหนังสือของคุณเป็นทางการให้กับผู้คนที่ช่วยงานให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เช่น คนที่เล่นกอล์ฟกับประธานาธิบดี รัฐมนตรีต่างๆที่เข้าร่วมงาน หรือคนจัดดอกไม้ก็ตามที่ แต่ว่าบุคคลที่ทางทำเนียบขาวทำหนังสือขอบคุณไปให้ ดันไม่ยักกะมีชื่อของคุณหมอฟันอยู่ด้วย แล้วเรื่องราวก็ถูกเปิดเผยโดยนายแลร์รี ไบรอัน (Larry W.Bryan) ซึ่งเป็นนักเขียนอยู่ในวารสารเกี่ยวกับยูเอฟโอ เล่าว่าได้ข้อมูลมาจากผู้ฟังที่โทรมายังรายการวิทยุของนายจอร์จ นูรี (George Noory) ที่ชื่อรายการว่า Coast to Coast AM เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ค.ศ.๒๐๐๙ ชายคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าบ๊อบได้เล่าให้กับนายจอร์จ นูรีฟังว่าเขาได้ฟิล์มขาวดำขนาด ๑๖ มม. ที่มีภาพของประธานาธิบดีไอเซนเฮาว์และนักประดิษฐ์และมหาเศรษฐีเลื่องชืออย่างนายฮาเวิร์ด ฮิวจ์ (Howard Hughes) และชายอีกสองคนที่อ้างว่ากำลังตรวจยานอวกาศที่ตกอยู่ พร้อมกับกับลูกเรือที่เป็นมนุษย์ต่างดาว แต่ว่าไอ้สิ่งที่เราได้ยินมันเป็นแค่การกล่าวอ้างของคนแค่คนเดียว และข้อเท็จจริงก็คือระหว่างที่กำลังออกอากาศรายการวิทยุนี้ นายนูรีได้บอกชายคนดังกล่าวว่าเค้าอยากจะคุยนอกรอบ ซึ่งรายละเอียดระหว่างทั้งคู่ที่คุยกันจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ ขณะที่กำลังออกอากาศ ชายคนดังกล่าวที่ชื่อบ๊อบก็ได้บอกกับคนทางบ้านว่าเขาเคยเป็นทหาร และหน้าที่ก็คือการตรวจสอบกล้องของดาวเทียม เมื่อถูกถามว่าได้ฟิล์มนี้มายังไง เขาตอบว่าเป็นสิ่งที่เขาได้ตกทอดมาจากครอบครัวอีกทีหนึ่ง ชายคนนี้บอกว่าได้ดูบางส่วนของฟิล์มนี้แล้ว และสิ่งที่เห็นทำให้เขากลัวแทบตาย (Scared him to death) เลยทีเดียว เห็นไหมครับว่าเรื่องที่เล่ามาไม่รู้ว่าจะน่าเชื่อแค่ไหน แต่ก็เป็นอันว่าไม่มีข้อมูลหรือหลักฐานที่ชัดเจนพอว่าตกลงแล้วท่านประธานาธิบดีไอเซนเฮาว์เจอกับเพื่อนเอเลี่ยนจริงหรือไม่ แต่เขียนมาเล่าให้กับแฟนานุแฟนแล้ว เดี๋ยวจะหาว่าเอาเพียงแค่ข่าวลือมาเล่าให้ฟัง คราวนี้ผมนำบทสัมภาณ์และคำให้การของอดีตนักบินอวกาศอพอลโล ๑๔ (Apollo 14) อย่างเอ็ดการ์ ดีน มิชเชล (Edgar Mitchell) รวมทั้งนักบินอวกาศเจมินี ๕ (Gemini 5) และพันเอกลีรอย กอร์ดอน คูเปอร์ (Col.Leroy Gordon Cooper) จากองค์กรการบินอวกาศหรือนาซ่าของสหรัฐฯ น่าจะทำให้ท่านแฟนานุแฟนเชื่อผมแล้วนะครับว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง? ลองมาดูคำให้การของเอ็ดการ์ มิชเชลกันก่อนนะครับ เอ็ดการ์ ดีน มิชเชล เกิดเมื่อเดือนกันยายน ค.ศ.๑๙๓๐ ในเมืองเฮียร์ฟอร์ด รัฐเทกซัส เคยเป็นนักบินในยานสำรวจอวกาศอพอลโล ๑๔ และเป็นมนุษย์อวกาศคนที่ ๖ ที่ได้เหยียบบนดวงจันทร์ โดยใช้เวลาประมาณ ๙ ชั่วโมงบนพื้นผิวดวงจันทร์ เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ค.ศ.๑๙๗๑ จบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านวิศวกรรมการบินจากวิทยาลัยบัณทิตศึกษากองทัพเรือสหรัฐฯ และปริญญาเอกด้านการบินและอวกาศจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาจูเซส หรือ MIT ระหว่างที่ออกรายการวิทยุที่ชื่อว่า Kerrang ที่ประเทศอังกฤษเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ค.ศ.๒๐๐๘ มิชเชล ได้บอกว่ามีพยานมากกว่า ๕๐๐ คนที่รู้เห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ยานยูเอฟโอตกที่เมืองรอสเวล (Roswell) รัฐนิวเม็กซิโก เมื่อ ค.ศ.๑๙๔๗ เป็นเรื่องจริง และพยานเหล่านั้นพูดความจริง ขณะที่รัฐบาลได้เริ่มกลบเกลื่อนหลักฐานของยูเอฟโอและข้อมูลของมนุษย์ต่างดาวนับตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเป็นต้นมาจนถึงทุกวันนี้ ดร.มิชเชลยังเล่าต่อว่ามีสิ่งมีชีวิตนอกโลกได้เดือนทางมาเยือนโลกเราหลายต่อหลายครั้ง และในบางครั้งเกิดขึ้นระหว่างที่เขาเป็นนักบินในนาซ่า ซึ่งก็ถูกรัฐบาลปิดบังไว้เช่นกัน การเปิดเผยของ ดร.มิชเชลก่อให้เกิดกระแสตื่นตัวอย่างสูงในโลกอินเตอร์เนต โดยมีนักเขียนหลายคนที่ได้เขียนบทความ บล็อกส่วนตัว และเวทีที่เปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน โดยดร.มิชเชลในฐานะผู้ที่ได้ความเคารพอย่างสูงในฐานะวีรบุรุษของชาวอเมริกัน ได้เปิดเผยต่อโลกโดยไม่ปิดบังว่ามียูเอฟโอมาเยือนโลก และเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวเป็นเรื่องจริง แต่รัฐบาลได้เก็บงำข้อมูลนี้ไว้ แม้จะมีคนที่มีชื่อเสียงหลายคนที่ให้การในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน และบางคนก็รู้ข้อมูลเชิงลึกมาก เนื่องจากอาจมีคนรู้จักที่ทำงานที่เกี่ยวข้องในสถานที่นั้น แต่ว่าไม่มีเคยได้ที่การเปิดเผยจะมีผลกระเทือนเป็นวงกว้างต่อสังคมเช่นเดียวกับของ ดร.มิชเชล ซึ่งเขาได้เล่าว่าได้มีสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกลักษณะแปลก มีขนาดเล็กและหัวโตได้มาเยือนโลกเรา ซึ่งเปรียบแล้วยังกับฝันร้ายหรือหนังวิทยาศาสตร์ที่เราเคยดู “ผมได้รับสิทธิพิเศษในการมีส่วนร่วมในข้อเท็จจริงที่ว่าเราได้รับการมาเยือนหลายครั้งและปรากฏการณ์ยูเอฟโอเป็นเรื่องจริง” ดร.มิชเชลกล่าว และแล้วการเปิดเผยของดร.มิชเชลก็เป็นที่คาดการณ์ได้ว่านาซ่าเองต้องแถลงตอบโต้ดร.มิชเชล ซึ่งก็จริงเพราะนาซ่าเองก็ได้แถลงว่า “นาซ่าไม่ได้ติดตามเรื่องยูเอฟโอ นาซ่าไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับการปิดบังเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตต่างดาวบนโลกนี้หรือในที่อื่นๆในจักรวาล” แต่สิ่งที่นาซ่าได้แถลงดูเหมือนจะเป็นการกินปูนร้อนท้องหรืออย่างไรไม่ทราบได้ เพราะ ดร.มิชเชลเองแกก็ไม่ได้บอกว่านาซ่าทำหน้าที่ติดตามยูเอฟโอ และไม่ได้พูดด้วยว่านาซ่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการปิดบังข้อมูลต่อสาธารณชน แต่สิ่งที่แกพูดก็คือระหว่างที่เป็นนักบินในนาซ่าทำให้อยู่ในฐานะที่เอื้อต่อการจะรู้ข้อมูลที่ลับมาก อาจเป็นเรื่องจริงที่ว่าข้อมูลบางอย่างอาจรั่วไหลไปยังแหล่งอื่นๆบ้าง แต่คนที่รู้ความจริงเหล่านี้การที่จะเปิดเผยออกมาต้องทำในลักษณะไม่เปิดเผยตัวตนของผู้ให้ข่าว แต่ปรากฏว่า ดร.มิชเชลไม่ได้เป็นคนแบบนั้น อีกสองวันต่อมาหลังจากที่ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการวิทยุที่ประเทศอังกฤษ ดร.มิชเชลได้ไปออกรายวิทยุอีกรายการหนึ่งที่ชื่อ BlogTalkRadio โดยเปิดเผยว่า “เพราะว่าผมโตมาจากเขตรอสเวล (รัฐนิวเม็กซิโก) และเมื่อผมไปยังดวงจันทร์ ทำให้นึกถึงช่วงเวลาในอดีต เพราะชาวบ้านบางคน เจ้าหน้าที่ทางการทหารและข่าวกรอง ซึ่งให้คำสาบานว่าจะไม่เปิดเผยสิ่งต่างๆเหล่านี้” และเพิ่มเติมว่า “สิ่งที่ผมกำลังพูดนี้พวกเขาได้ยืนยันว่าเหตุการณ์ยูเอฟโอตกที่รอสเวลเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง” ดร.มิชเชลยังบอกด้วยว่า ชาวบ้านในเขตรอสเวลได้เล่าให้ฟังว่า “ยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาวที่ตกในรอสเวลเป็นเรื่องจริง แต่ข้อเท็จจริงส่วนใหญ่เปิดเผยว่าพบศพที่เสียชีวิตที่ได้รับการกู้ขึ้นมา รวมทั้งมนุษย์ต่างดาวที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ได้รับการช่วยเหลือออกมา ซึ่งสิ่งมีชีวิตดังกล่าวไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในโลกนี้ และแน่นอนว่ามีการรายงานในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น Roswell Daily Record และก็ได้รับปฏิเสธจากรัฐบาลทันทีในอีกวันต่อมา และเรื่องที่กลบเกลื่อนว่าเป็นเรื่องของบอลลูนอากาศตกก็เป็นเรื่องที่เหลวไหลทั้งเพ” มาถึงตรงนี้ดูเหมือนว่า ดร.มิชเชล นักบินอวกาศของเราเครื่องจะแรงไม่หยุด เพราะสิ่งที่แกพูดเป็นสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯพยายามปกปิดมาตลอด ซึ่งตัวของแกก็คิดว่าคงปลอดภัยเพราะเป็นคนที่มีผู้คนรู้จักมากและทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติมาแล้วมากมาย การสัมภาษณ์ที่ผ่านมาในอังกฤษ น่าจะไม่พอสำหรับ ดร.มิชเชล คราวนี้ แกไปให้สัมภาษณ์กับ Discovery Channel ซึ่งเป็นช่องยอดฮิตสำหรับสารคดีและเรื่องแปลกประหลาดต่างๆ และส่วนหนึ่งของการสัมภาษณ์คือ “ผมได้เล่าเรื่องนี้ให้กับเพนตากอน (ชื่อเล่นแทนกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เพราะตึกที่ทำการมีลักษณะห้าเหลี่ยม-ผู้เขียน) ไม่ใช่นาซ่า และเจ้าหน้าที่จากเพนตากอน ได้ถูกซักถามระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการข่าวกรองของคณะเสนาธิการทหารร่วม ผมได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นและสิ่งที่ผมรู้ ซึ่งท้ายที่สุดก็ได้รับการยืนยันจากท่านนายพลเรือที่ผมได้พูดคุยด้วย และยืนยันจริงๆว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นเรื่องจริง” นอกจากนี้ ดร.มิชเชลยังให้ข้อมูลเชิงลึกที่ว่าทำไมรัฐบาลจึงต้องเก็บงำเรื่องยูเอฟโอให้เป็นข้อมูลความลับยิ่งกว่าลับที่สุด (above top-secret) ดร.มิชเชลบอกว่ากองทัพอากาศเป็นหน่วยที่รับผิดชอบในการปกป้องน่านฟ้า และหน่วยงานอื่นๆก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรเกิดขึ้นตอนที่จานบินตกในที่สำคัญมีเทคโนโลยีที่ล้ำยุคมาก กองทัพอากาศเองก็ไม่ต้องการให้สหภาพโซเวียตขณะนั้นรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แนวทางที่ควรทำก็คือโกหกเรื่องนี้ไว้ก่อน และเก็บเรื่องไว้กับตัวเอง ดังนั้นจึงจัดเรื่องนี้ไว้ในหมวดหมู่ของชั้นยิ่งกว่าลับที่สุด และได้สร้างการปิดกั้นในการเข้าถึงข้อมูลดังกล่าวอย่างเข้มงวดโดยแยกกลุ่มคนที่รักษาความลับนี้ไว้จากรัฐบาลและสาธารณชน มีการคาดการณ์วจากนักค้นคว้าและวิจัยด้านยูเอฟโอว่ากลุ่มผู้ที่กุมความลับนี้ไว้คือกลุ่มที่ถูกเรียกว่า Majestic-12 หรือ MAJ-12 อย่างไรก็ตาม การเปิดเผยของ ดร.มิชเชลไม่ใช่หมายความว่ากลุ่มผู้เก็บความลับเรื่องยูเอฟโอจะต้องเป็น Majestice-12 ซึ่งที่จริงแล้วอาจจะมีชื่ออื่นเรียกก็ได้ แต่สิ่งที่ดร.มิชเชลพูดอย่างน้อยก็เป็นการยืนยันว่ากลุ่มคนที่เก็บงำความลับเกี่ยวกับยูเอฟโอและเอเลี่ยนนั้นมีอยู่จริง และตราบใดก็ตามเรื่องของยูเอฟโอยังคงมีความสำคัญ ก็เป็นที่น่าเชื่อได้ว่ากลุ่มคนดังกล่าวน่าจะยังมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ คราวนี้ลองมาดูคำให้การของนักบินอวกาศอีกคนที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กับ ดร.มิชเชล เขาคือ พันเอกลีรอย กอร์ดอน คูเปอร์ (Col.Leroy Gordon Cooper) สหรัฐฯ จัดให้เป็นนักบินอวกาศคนแรกที่ทำสถิตเดินทางไปยังอวกาศมากกว่า ๓.๓ ล้านไมล์ โดยเป็นลูกเรือในยานเจมินี ๕ แต่น่าเสียดายที่คูเปอร์ได้ลาโลกไปเมื่อ ค.ศ.๒๐๐๔ ด้วยวัย ๗๗ ปี คูเปอร์เป็นชาวโอกลาโฮมาโดยกำเนิดและได้เข้าทำงานในหน่วยนาวิกโยธิน (Marine Corps) หลังจากเรียนจบมัธยมปลายเมื่อ ค.ศ.๑๙๔๕ และเริ่มเป็นนักบินทดสอบของกองทัพอากาศที่ฐานทัพอากาศเอ็ดเวิร์ดในแคลิฟอร์เนีย ประสบการณ์การเป็นนักบินอวกาศถือว่าโชกโชนไม่แพ้กับ ดร.มิชเชล เดือนเมษายน ค.ศ.๑๙๕๙ เป็นนักบินอวกาศในโครงการ Project Mercury วันที่ ๑๕-๑๖ พฤษภาคม ค.ศ.๑๙๖๓ ได้เป็นนักบินในยานขนส่ง Faith 22 Spacecraft ในภารกิจเดินทางรอบวงโคจรโลกซึ่งเป็นการปิดฉากโครงการ Project Mercury อีกสองปีต่อมาได้เป็นกัปตันนักบินอวกาศบนยานเจมินี ๕ โดยทุบสถิติเดินทางรอบวงโคจรโลกเป็นเวลา ๘ วัน และสร้างสถิติอีกครั้งเมื่อเป็นนักบินอวกาศที่ได้เดินทางรอบวงโคจรเป็นครั้งที่ ๒ และครั้งนี้ทำหน้าที่เป็นกัปตันสำรองของยานเจมินี ๑๒ (Gemini 12) และกัปตันสำรองของยานอพอลโล ๑๐ (Apollo X) หลังจากเกษียณด้วยยศพันเอกแล้วก็มีงานให้ปู่ทำไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะเป็นบอร์ดด้านการบินของบริษัทเอกชนต่างๆ ที่เล่าประวัติการบินของผู้การคูเปอร์มาเสียยาว ก็เพื่อต้องการให้ท่านผู้อ่านทราบว่าปู่เก่งไม่หยอกและค่อนข้างน่าเชื่อถือไม่น้อย หากแกจะเล่าเรื่องแปลกๆจากปาก เพราะคนวัยนี้คงจะไม่โกหก หลังจากที่แกเกษียณจากนาซ่าและกองทัพอากาศ ชื่อเสียงของแกก็เริ่มเป็นที่รู้จักเพราะได้ออกมาปูดเรื่องยูเอฟโอและทำให้รัฐบาลสหรัฐโมโหเล่นด้วยการบอกว่ารัฐบาลปิดบังข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก สำนักข่าว CNN วันที่ ๔ ตุลาคม ๒๐๐๔ได้ตีพิมพ์ข่าวอุทิศความดีให้กับผู้การคูเปอร์หลังจากที่ได้เสียชีวิต และได้หยิบยกเอาบทสัมภาษณ์ที่เกี่ยวข้องกับยูเอฟโอและให้ทัศนะเรื่องนี้ดังนี้ “ผมเชื่อว่ายานอวกาศที่มาจากนอกโลกและลูกเรือของพวกเขาได้มาเยือนโลกเราจากดาวเคราะห์อื่น ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีวิทยาการที่ก้าวหน้ากว่าโลกเรา” และ “ผมยังรู้สึกว่าเราจำเป็นต้องมีโครงการประสานงานในเจ้าหน้าที่ระดับสูงเพื่อรวบรวมและวิเคราะห์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับข้อมูลที่เกิดขึ้นทั่วโลกที่เกี่ยวกับประเภทยูเอฟโอหรือมนุษย์ต่างดาวที่เราเผชิญหน้า และกำหนดแนวทางที่ชัดเจนเมื่อเผชิญหน้ากับผู้มาเยือนในลักษณะที่เป็นมิตร” นอกจากนี้เขาเสริมว่า “ในหลายปีมานี้ผมมีชีวิตอยู่กับความลับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญและนักบินอวกาศทั้งหมดต้องเก็บรักษาไว้ ตอนนี้ผมสามารถเปิดเผยได้ว่าทุกวันในสหรัฐฯ อุปกรณ์เรดาห์ของเราได้ตรวจจับวัตถุรูปแบบต่างๆและองค์ประกอบต่างๆที่เราไม่รู้จัก” ข้อความทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เขาได้ให้ความเห็นในคณะทำงานของสหประชาชาติเมื่อค.ศ.๑๙๘๕ ถึงแม้ว่าระยะหลังมานี้มีการเปิดเผยโดยนักบินอวกาศและนักวิทยาศาสตร์ที่เคยทำงานในนาซ่า หลังจากที่พวกเขาได้เกษียณ เรียกเสียงฮือฮาจากสังคมอเมริกันเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวได้ไม่น้อย เพราะใครที่เชื่อหรือศึกษาเกี่ยวกับยูเอฟโอหรือมนุษย์ต่างดาว ก็มักจะถูกหาว่าเพี้ยนหรือจินตนาการไปเองบ้าง การเปิดเผยดังกล่าวจึงสร้างความน่าเชื่อได้มากโข และทำให้วงการยูเอฟโอตื่นตัวและมีผลงานการตีพิมพ์ในสื่อสิ่งพิมพ์และอิเลคทรอนิคส์อย่างมากมาย อย่างไรก็ตาม การยืนยันและแถลงการณ์ที่เป็นทางการจากรัฐบาลและพากันเงียบกันเป็นเป่าสากโดยออกมาตอบรับหรือปฏิเสธการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตนอกโลก ทำให้ข้อมูลและคำให้การลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อแสดงให้ว่ารัฐบาลกำลังปกปิดข้อมูลบางอย่างต่อสาธารณชนไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม เอาเป็นว่าสรุปแล้วมนุษย์ต่างดาวจะมีอยู่จริงหรือไม่จริงตามที่ดร.มิชเชลและผู้การคูเปอร์ให้การ แต่ที่แน่ๆ มีใครรู้บ้างว่าตกลงแล้วท่านประธานาธิบดีไอเซนเฮาว์ของผมแกเจอกับมนุษย์ต่างดาวหรือเปล่า?
Posted on: Tue, 08 Oct 2013 17:37:12 +0000

Trending Topics



Recently Viewed Topics




© 2015