บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : - TopicsExpress



          

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 20/09/56“มีสิทธิแกว่งหลังขึ้นแรง...ยืนเหนือ 1500 ไม่ได้ขายก่อน” กลยุทธ์การลงทุน : เมื่อวานนี้ SET Index พุ่งขึ้นแรงกว่าคาด (+49.93 จุด มาปิดที่ 1489.06 จุด) ตามการปรับเพิ่มพอร์ตการลงทุนใน Equity ระลอกใหม่หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวดีขึ้น และเฟดยังคงเดินหน้าโครงการซื้อสินทรัพย์เฉลี่ย 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อ/เดือน แล้วค่อยไปพิจารณากันอีกครั้งในการประชุมรอบหน้า 29-30 ต.ค.56 มูลค่าซื้อขายเพิ่มเป็นกว่า 8 หมื่นล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 5.5 พันล้านบาท สถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 3.1 พันล้านบาท พอร์ตบล.ซื้อสุทธิ 3.8 พันล้านบาท ส่วนรายย่อยขายสุทธิ • สำหรับวันนี้ ตลาดมีสิทธิแกว่งจากแรงขายทำกำไร หลังจากราคาหุ้นและดัชนีปรับขึ้นแรง รวมทั้ง SET ได้ปรับขึ้นไปใกล้แนวจิตวิทยาที่ 1500 จุดด้วยปัจจัยที่จับตา คือ ร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทว่าจะผ่านไปได้อย่างราบรื่นและเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ ส่วนประเด็นภายนอก คือ การขอขยายเพดานการก่อหนี้ของรับบาลสหรัฐ ว่าทางสภาคองเกรสจะตั้งเงื่อนไขที่ Aggressive เพิ่มขึ้นเพื่อแลกกับการอนุมัติขยายเพดานหนี้หรือไม่ ทั้งนี้รมว.คลังสหรัฐคาดว่าหนี้สินรัฐบาลจะแตะเพดานที่ 16.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในกลางเดือนต.ค.นี้ ดังนั้นจึงเรียกร้องให้สภาคองเกรสเร่งอนุมัติการขยายเพดานหนี้ดังกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ • กลยุทธ์การลงทุน : การลงทุนใหม่ควรใช้หลักความระมัดระวังให้มากขึ้น เพราะ SET Index ได้ปรับขึ้นมาแล้ว 18.6% จากระดับต่ำสุดของรอบนี้และใช้เวลาเพียง 3 สัปดาห์ในการทะยานขึ้น นับว่ารวดเร็วมาก ดังนั้นพอร์ตที่มีกำไรพอสมควรแล้วก็ควรแบ่ง Take Profit ในจังหวะที่ราคาหุ้นและดัชนีปรับขึ้น ส่วนการ Let Profit Run หรือการ Follow Buy ทำเมื่อ SET Index สามารถยืนเหนือ 1500 จุดได้อย่างแข็งแรง โดยมีเป้าหมาย 1520 จุด หรือสูงกว่า หุ้นพื้นฐานที่แนะนำซื้อตามด้วยค่าบวกวันนี้เป็น SCFundamental PickSC แนะนำซื้อ ราคาปิด 4.34 บาท ราคาเป้าหมาย 4.82 บาท • กำไรหลักใน 1H56 เป็นสัดส่วน 34% เทียบกับประมาณการทั้งปี และมีการเติบโต 13%YoY สำหรับกำไร 2H55 คาดว่าเป็นสัดส่วน 66% โดยกำไรจะปรับตัวสูงดีขึ้นในทุกไตรมาส (4Q>3Q>2Q>1Q) เพราะมีการเปิดขายโครงการใหม่ในรอบ 2H56 ซึ่งเป็นแนวราบถึง 8 โครงการ จึงรับรู้รายได้จากการโอนได้เร็ว และโครงการแนวราบเดิมอีก 18 แห่ง อีกทั้งยังมีคอนโดที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมโอนได้ทันปีนี้ เมื่อขายได้เพิ่ม คือ สุขุมวิท 49 สุขุมวิท 24 และพหลโยธิน 11 แนะนำซื้อ โดยฝ่ายวิจัยฯ DBSV คาดการณ์อัตราการเติบโตกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS Growth) ปีนี้และปีหน้าสดใสเป็น 20% และ 33% ตามลำดับ ให้ราคาพื้นฐานที่ 4.82 บาท (Forward P/E ปี 56 เป็น 12 เท่า)ปัจจัยต่างประเทศและโภคภัณฑ์•/+ สหรัฐ : ตัวเลขภาคที่อยู่อาศํย,แรงงาน และดุลบัญชีเดินสะพัด 2Q56 ออกมาดีกว่าคาด แต่ภาคที่อยู่อาศัยอาจชะลอตัวลงเพราะอัตราดอกเบี้ยจำนองที่สูงขึ้น...จับตาการขอขยายเพดานการก่อหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ • ยอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาส 2 ปีนี้ ลดลง 5.7%QoQ มาอยู่ที่ระดับ 9.889 หมื่นล้านดอลลาร์ (2.4% ของ GDP) ต่ำสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3/52 แต่มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 9.70 หมื่นล้านดอลลาร์ + ยอดขายบ้านมือสองเดือนส.ค.56 พุ่งขึ้น 1.7%MoM แตะระดับ 5.48 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 ปีครึ่ง และตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 5.25 ล้านยูนิต บ่งชี้ว่าตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐยังคงฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม มีบางปัจจัยที่อาจทำให้การเติบโตของภาคที่อยู่อาศัยชะลอตัวลงในระยะต่อไป ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยจำนองที่เพิ่มขึ้นมากว่า 1% นับตั้งแต่เดือนพ.ค.และคาดว่าจะแตะ 5% ภายในสิ้นปีนี้, แรงงานมีฝีมือตึงตัว, ราคาวัสดุก่อสร้างสูงขึ้น และขาดแคลนที่ดินใหม่สำหรับการก่อสร้างบ้านใหม่ • จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 14 ก.ย. เพิ่มขึ้น 15,000 ราย แตะระดับ 309,000 ราย แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 330,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ระดับ 292,000 ราย ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานติดต่อกันโดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์ ลดลง 7,000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 314,750 ราย + GDP ไตรมาส 2/56 ขยายตัว 2.5% มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.2% เพราะมีแรงหนุนจากยอดส่งออกที่แข็งแกร่ง และบริษัทเอกชนเพิ่มระดับสินค้าคงคลัง • ปัจจัยจับตา คือ การขอขยายเพดานการก่อหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งรัฐมนตรีคลังสหรัฐระบุว่าในกลางเดือนต.ค.56 หนี้รัฐบาลจะเพิ่มขึ้นแตะเพดานสูงสุดที่ 16.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นจึงขอให้รัฐสภาพิจารณาอนุมัติเพิ่มเพดานการก่อหนี้ก่อนเวลาดังกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้• ดัชนีดาวโจนส์และ S&P 500 ลดลง แต่ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น - ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 15,636.55 จุด ลดลง 40.39 จุด หรือ -0.26% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,722.34 จุด ลดลง 3.18 จุด หรือ -0.18% ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 3,789.38 จุด เพิ่มขึ้น 5.74 จุด หรือ +0.15% ในช่วงแรกตลาดปรับขึ้นสะท้อนข่าวการใช้ QE3 ในวงเงิน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนของเฟดต่อไป แต่ตลาดได้อ่อนแรงลงในระยะต่อมาจากแรงขายทำกำไร แต่ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังสามารถยืนบวกได้- สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงจากแรงขายทำกำไรระยะสั้น - สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค.ร่วงลง 1.68 ดอลลาร์ ปิดที่ 106.39 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย.ร่วงลง 1.84 ดอลลาร์ ปิดที่ 108.76 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากการขายทำกำไรระยะสั้น ภายหลังจากสถานการณ์ในซีเรียคลี่คลายลง และมีข่าวว่าลิเบียจะผลิตน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น+ สัญญาทองคำ COMEX พุ่งขึ้นแรงถึง 61.7 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ + สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 61.7 ดอลลาร์ หรือ 4.72% ปิดที่ 1,369.3 ดอลลาร์/ออนซ์ หนุนโดยการที่เฟดยังคงเดินหน้าโครงการซื้อพันธบัตรในวงเงิน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือนต่อไป ประกอบกับราคาทองคำอ่อนตัวลงมาแตะแนวจิตวิทยาที่ 1300+/-ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ในช่วงก่อนหน้าปัจจัยในประเทศและหลักทรัพย์ • กลุ่มสื่อสาร : ในเชิงกลยุทธ์เราให้น้ำหนักลงทุนเป็น Overweight เพราะแนวโน้มการเติบโตแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นไปตามความต้องการใช้เทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นทั้งในภาคครัวเรือน, ภาคธุรกิจและภาครัฐ หุ้น Top Pick เป็น INTUCH • ความต้องการใช้เทคโนโลยีสื่อสารมีมากขึ้น ทั้งในกลุ่มบุคคล ภาคธุรกิจ และภาครัฐ ซึ่งเป็นไปตามพฤติกรรมผู้บริโภคในตลาดโลก สำหรับประเทศไทยในปี 2556 มีพัฒนาการในทางบวกจากการใช้ระบบ 3G ใหม่ บนคลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิร์ตซ และมีการใช้ระบบบรอดแบรนด์กันแพร่หลายมากขึ้น ทำให้อุตสาหกรรมมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ผู้บริโภคส่วนบุคคลหันมาใช้ Smart Phone มากขึ้น ภาคธุรกิจและหน่วยงานรัฐหันมาใช้เทคโนโลยีในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และในระหว่างที่เพิ่งเริ่มใช้ 3Gใหม่ได้ไม่นาน ผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งกระทรวง ICT และผู้ประกอบการก็ได้เริ่มพัฒนาระบบ 4G ต่อเนื่อง • คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิของกลุ่มสื่อสารไทยในปี 56-57 จะขยายตัวสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดรวม โดยฝ่ายวิจัยฯ DBSV คาดว่า EPS Growth ของกลุ่มนี้จะเติบโต 34% ในปี 56 และ 28% ในปี 57 ขณะที่ค่าเฉลี่ย (Median) ของหุ้นที่เราวิเคราะห์อยู่ที่ 18% และ 14% ตามลำดับ ขณะเดียวกันหุ้นกลุ่มสื่อสารของไทยมี PEG ปี 57 ต่ำเพียง 0.5 เท่า ส่วนค่าเฉลี่ย (Median) ของตลาด 0.9 เท่า • มีความเป็น Defensive จากความจำเป็นที่ต้องใช้เทคโนโลยีสื่อสารในภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ และภาครัฐที่มากขึ้น จนกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ในชีวิตประจำวันไปแล้ว ทำให้กลุ่มนี้ถูกกระทบจากปัจจัยเสี่ยงภายนอกและปัญหาการเมืองภายในจำกัด • ข้อจำกัดหรือความเสี่ยงของกลุ่มสื่อสาร คือ การลงทุนพัฒนาโครงข่ายและการส่งผ่านข้อมูลในบางจุดที่ยังล่าช้า เพราะติดปัญหาเรื่องกฎระเบียบของทางการ และเงินลงทุนของผู้ประกอบการบางรายอย่างไรก็ตาม ไม่ถึงกับเป็นประเด็นที่จะทำให้การพัฒนาอุตสาหกรรมสะดุดตัว • เราให้ INTUCH เป็นหุ้น Top Pick ในกลุ่มสื่อสาร ทั้งนี้เพราะกำไรมีแนวโน้มดี ทั้งจากรายได้โฆษณาและสื่อที่เพิ่มขึ้นแข็งแกร่ง และบริษัทลูกที่เติบโตต่อเนื่อง โดย ADVANC จะได้ประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลงบนเครือข่าย 3G อัตราภาษีจ่ายลดลงเป็น 20% จาก 23% ในปีก่อน ส่วน THCOM พลิกกลับมีกำไร บริษัทจ่ายปันผลดี โดยคาดการณ์ Dividend Yield ปี2556-2557 เท่ากับ 5% และ 6.2% ตามลำดับ (จ่ายปีละ 2 ครั้ง) สำหรับเรื่องทีวีดิจิตอล คาดว่าจะยังไม่สร้างมูลค่าเพิ่มในระยะสั้นมากขึ้นแต่จะดีในระยะยาว• ธปท.เชื่อว่าสภาพคล่องทางการเงินในระบบของไทยเพียงพอที่จะรองรับการลงทุนขนาดใหญ่ 2 ล้านล้านบาท จากเป็นการทยอยลงทุนระยะยาว • ผู้ว่าการธปท.มีความเชื่อมั่นว่าสภาพคล่องในระบบการเงินของไทยจะเพียงพอกับโครงการลงทุนขั้นพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท เนื่องจากเป็นการทยอยลงทุน (ตามแผนรัฐบาล คือ 7 ปี) เฉลี่ยปีละ 3 แสนล้านบาท ซึ่งไม่ได้สูงมากนัก และที่ผ่านมาทางธปท.ได้ดูดซับสภาพคล่องไว้ส่วนหนึ่งแล้วขณะเดียวกันเม็ดเงินลงทุนที่เข้าสู่ระบบก็ทำให้เศรษฐกิจมีการเติบโตสูงขึ้น ทั้งนี้คาดการณ์ว่าเม็ดเงินลงทุนจะเข้าสู่ระบบในปี 57 ซึ่งสอดคล้องกับที่ทางฝ่ายวิจัยฯ DBSV ได้ประเมินไว้ โดยเรามีสมมติฐานให้เม็ดเงินลงทุนในโครงการ 2 ล้านล้านบาทเริ่มเข้าสู่ระบบตั้งแต่กลางปี 57 เป็นต้นไป ทั้งนี้นักวิชาการได้ประเมินว่าถ้าร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาทมีความล่าช้าหรือติดขัดด้วยข้อกฎหมาย รัฐบาลก็สามารถแก้ไขด้วยการลงทุนผ่านวิธีงบประมาณปกติได้ • คาดว่าสินเชื่อเพื่อการลงทุนในปี 57 จะขยายตัวในอัตราสูงขึ้น เนื่องจากภาคเอกชนต้องลงทุนรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและการเปิดเสรีการค้าอาเซียน (AEC) ในปี 58 และโครงการลงทุนภาครัฐที่ดำเนินการอยู่แล้วยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง รวมทั้งจะมีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นอีก โดยในเบื้องต้นคาดว่าสินเชื่อในปี 57 จะขยายตัวเป็นเลขสองหลักต้นๆ แม้ว่าฐานของสินเชื่อจะใหญ่ขึ้นก็ตาม สำหรับธนาคารที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์มากจากการลงทุนภาคเอกชนและภาครัฐที่เพิ่มขึ้น คือ KTB (ราคาเป้าหมาย 12 เดือนเท่ากับ 28 บาท) และ BBL (ราคาเป้าหมาย 12 เดือนเท่ากับ 248 บาท) ที่มา สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย
Posted on: Fri, 20 Sep 2013 03:01:30 +0000

Trending Topics



Recently Viewed Topics




© 2015