บล.เอเซียพลัส : - TopicsExpress



          

บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 18/07/56 กลยุทธ์การลงทุน คาด SET ยังแกว่ง หลังถ้อยแถลง Fed จะไม่บอกกล่าวล่วงหน้าในการตัดลด QE ทั้งนี้ ขึ้นกับดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ซึ่งล่าสุดตลาดบ้านใหม่เริ่มชะลอ ทำให้การใช้ QE จะยังถูก ยืดออกไป กลยุทธ์การลงทุนยังเน้นเลือกหุ้นปันผลเด่น ซึ่งคาดว่าจะประกาศในอีก 1 เดือนข้าง หน้า หลังเสร็จสิ้นการรายงานงบ 2Q56 Top picks: หุ้น Big Cap INTUCH(FV@B122) และหุ้น Mid-Small SNC ([email protected]) กำไรตลาดหุ้นในสหรัฐยังคงสดใส สะท้อนการฟื้นตัวที่ชัดเจน ตลาดหุ้นสหรัฐยังได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนขนาดใน สหรัฐ ที่ออกมากดีกว่าคาด ได้แก่ Bank of America ประกาศกำไรสุทธิอยู่ที่ 3.6 พันล้านเหรียญฯ คิดเป็น 0.32 เหรียญฯ/หุ้น ดีกว่าคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 0.26 เหรียญฯ เป็นการเพิ่มขึ้นถึง 60%QoQ และ 88% YoY ผลประกอบการที่เติบโตแบบก้าวกระโดดมาจากการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อลดรายจ่าย และต้นทุนลง American Express ประกาศกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.41 พันล้านเหรียญฯ คิดเป็น 1.27 เหรียญฯ/หุ้น ดีกว่าคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 1.22 เหรียญฯ เป็นการเพิ่มขึ้น 10.4%QoQ และ 10.5%YoY จากการเพิ่มขึ้นของการบริโภคใช้จ่ายในภาคครัวเรือน ทั้งนี้ก่อนหน้า JP Morgan รายงานกำไรงวด 2Q56 ดีเกินคาด จากรายได้ของ IB และ trading ชดเชยรายได้ค่าธรรมเนียมการปล่อยกู้ที่ลดลง เช่นเดียวกับ Goldman Sachs ที่ มีกำไรต่อหุ้นเติบโตถึง 3.70 เหรียญฯ/หุ้น จาก 1.78 เหรียญฯ/หุ้น และนับตั้งแต่เริ่มประกาศงบ เมื่อ 8 ก.ค. ที่ผ่านมา มีการประกาศไปแล้วทั้งสิ้น 37 บริษัท คิดเป็น 15% ของ Market Cap ทั้งตลาด สามารถทำกำไรได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ราว 7.5% Fed จะไม่แจ้งการตัดลด QE ล่วงหน้า โดยจะขึ้นกับข้อมูลเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในขณะนั้นเป็น หลัก ถ้อยแถลงของประธานเฟค ต่อสภาคองเกรสในนี้ (ช่วง 17-18 ก.ค. 2556) แม้ยังไม่ มีแผนที่ชัดเจนต่อการตัดลด QE เหมือนกับถ้อยแถลงในครั้งที่ผ่านมา (เมื่อ 19 มิ.ย. 2556) แต่ ความแตกต่างอยู่ที่ถ้อยแถลงครั้งนี้ Fed ระบุว่าการเปลี่ยนแปลง QE จะไม่มีการบอกกล่าวล่วง หน้า ทั้งนี้ขึ้นกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจในขณะนั้นเป็นสำคัญ กล่าวคือหากข้อมูลเศรษฐกิจออกมา ดีมาก การตัดลด QE ก็อาจจะทำได้รวดเร็วและทันที แต่ตรงกันข้ามหากตัวเลขเศรษฐกิจไม่ดี หรือต่ำกว่าเป้าหมาย (อัตราการว่างงานปัจจุบันยังอยู่ในระดับ 7.6% เทียบกับเป้าหมายต่ำกว่า 6.5% และ GDP Growth 2.3-2.6% ในปี 2556 และ 3%-3.5% ในปี 2557 ขณะที่อัตราเงิน เฟ้อปัจจุบัน 1.8% เทียบกับเป้าหมาย 2%) ก็อาจจะยืดการใช้วงเงิน QE ออกไป หรือเพิ่มวง เงิน QE ในขณะที่ถ้อยแถลงในครั้งที่ผ่านมา ประธานเฟคระบุว่าจะทยอยตัดลด QE ภายในสิ้น ปีนี้ และจะยุติการใช้ QE ในกลางปีหน้า ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐ กลับตอบรับด้าน บวกเล็กน้อย เทียบกับคราวที่แล้วที่หลังจากการแถลงการณ์ของ Fed ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐ และ ตลาดหุ้นโลกต่างปรับตัวลดลงกันถ้วนหน้าติดต่อกันกว่าสัปดาห์ราว 5% เชื่อว่าการตอบสนองตลาดหุ้นในด้านบวกครั้งนี้ น่าจะเกิดจากตลาดคลายความกังวล การตัดลด QE ในเร็ว ๆ นี้ เพราะหากพิจารณาดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐล่าสุด แม้มีสัญญาณการ ฟื้นตัวที่ดีขึ้นต่อเนื่องก็ตาม โดยเฉพาะเกี่ยวข้องกับภาคครัวเรือน โดยเฉพาะตลาดบ้านใหม่ แต่ ล่าสุดในเดือน มิ.ย. พบว่า ยอดสั่งได้เริ่มชะลอตัวต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 2555 ทำให้การเติบ โตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ อาจจะมีสัญญาณการฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือในระดับ ปานกลาง ซึ่งยังไม่อยู่ในระดับที่ถือว่าดีมาก ซึ่งเข้าเงื่อนไขที่ประธานเฟค อาจจะ ต้องติดตาม ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจต่อไป ในสถานการณ์นี้เชื่อว่าตลาดหุ้นโลกน่าจะยังมีลักษณะแกว่งตัวต่อไป หลังจากที่ได้ปรับฐาน เพื่อตอบรับการตัดลดมาตรการ QE ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่นเดียวกับ SET Index น่าจะมีแนวโน้มแกว่งตัวในกรอบ 1400-1500 จุด ในเดือน ก.ค. กลยุทธ์การลง ทุนจึงยังคงเน้นเลือกลงทุนเป็นรายหุ้น ทั้งหุ้นที่เติบโตจากเศรษฐกิจในประเทศ สื่อสาร ธนาคาร พาณิชย์ และต่างประเทศ น้ำมัน และส่งออก สถาบันไทยสลับกลับมาซื้อเล็กน้อย แต่เชื่อว่าในระยะยาวยังขายต่อ วานนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคเป็นวันที่ 7 ติดต่อกันราว 420 ล้าน เหรียญฯ (เพิ่มขึ้น 42% จากวันก่อนหน้า) ซื้อสุทธิสูงสุดยังคงเป็นไต้หวันซื้อติดต่อกันเป็นวันที่ 7 ราว 233 ล้านเหรียญฯ, เกาหลีใต้ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 5 ราว 125 ล้านเหรียญฯ (เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า จากวันก่อนหน้า) ส่วนไทยซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 ราว 26 ล้านเหรียญฯ (เพิ่มขึ้น 61%) ขณะ ที่อินโดนีเซียพลิกกลับมาซื้อสุทธิราว 14 ล้านเหรียญฯ กลับกันฟิลิปปินส์สลับขายสุทธิออกมาเล็ก น้อย 4 ล้านเหรียญฯ ส่วนตลาดหุ้นของไทย นักลงทุนสถาบัน สลับกลับมาซื้อสุทธิเล็กน้อย ราว 172 ล้านบาท คาดว่าเป็นเพียงการสลับเข้ามาซื้อเพียงระยะสั้นเท่านั้นหลังจากที่ขายสุทธิอย่างต่อ เนื่อง รวมเกือบ 1.3 หมื่นล้านบาท (ตั้งแต่วันที่ 27 มิ.ย. ถึงวันที่ 16 ก.ค. 2556) แต่การที่ขาด ปัจจัยหนุนจากกองทุนใหม่ๆ และ กองทุน LTF ที่ครอบกำหนดอายุ ทำให้คาดว่านักลงทุนกลุ่มนี้ จะยังคงขายสุทธิต่อไป ตลาดน้ำมันดิบยังได้ รับแรงหนุนจากสต็อกน้ำมันที่ลดลงกว่าคาดต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3 ภาพรวมตลาดน้ำมันดิบยังคงมีแรงหนุนอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่กระทรวงพลังงานของ สหรัฐฯ (EIA) ประกาศยอดสต๊อกน้ำมันดิบลดลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3 กล่าวคือ สต๊อกน้ำมัน ดิบลดลง 6.9 ล้านบาร์เรล ลดลงมากกว่าผลสำรวจนักวิเคราะห์โดยบลูมเบิร์กที่คาดว่าจะลดลง เพียง 2 ล้านบาร์เรล เนื่องจากความต้องการน้ำมันดิบจากผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันยังคงแข็ง แกร่ง จากการที่โรงกลั่นได้เพิ่ม กำลังการกลั่น 0.4% มาอยู่ที่ระดับ 92.8% ของกำลังการผลิต รวม (แม้ว่า ยอดนำเข้าน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 2.4% WoW เป็น 7.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน รวมถึงยอด การผลิตเพิ่มขึ้น 1.2% WoW สู่ระดับ 7.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน) สต็อกน้ำมันดิบที่ลดลงดังกล่าวหนุนให้ราคาน้ำมันดิบอยู่ในระดับสูง โดยราคาน้ำมันดิบ WTI อยู่ ที่ 106.5 เหรียญฯต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 103.7 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งเป็น ระดับที่เหนือสมมติฐานของนักวิเคราะห์หุ้นกลุ่มพลังงานที่ 100 เหรียญฯต่อบาร์เรล ทำให้ยังคง แนะนำซื้อลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงาน เลือก PTT([email protected]) และ PTTEP([email protected]) เนื่องจากมี Upside 18% และ 19% ตามลำดับ ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย
Posted on: Thu, 18 Jul 2013 03:10:37 +0000

Recently Viewed Topics




© 2015