󾁀บล.เอเซียพลัส : - TopicsExpress



          

󾁀บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน 14/11/56 กลยุทธ์การลงทุน SET ยังคงแกว่งตัวในทิศทางขาลง จากผลกระทบของ EPS ตลาดที่มีแนวโน้มจะต้องปรับลดจากประมาณการเดิมราว 5% ในปีนี้และปีหน้า หลังงบงวด 3Q56 ส่วนใหญ่ต่ำกว่าคาด ทำให้ Current P/E ตลาดหุ้นไทยขึ้นไปเกิน 15 เท่า และปัญหาการเมืองที่ยังมีอยู่ กลยุทธ์การลงทุน ให้ปรับพอร์ตถือหุ้น Low P/E, Low Beta, High Dividend Yield วันนี้เลือก BECL(FV@B152) เป็น Top Picks เชื่อว่าการตัดลด QE ยังคงเกิดขึ้นในต้นปี 2557 แม้หลังเปลี่ยนแปลงประธาน FED เชื่อว่าภายหลังการเข้ารับตำแหน่งของ นางเจเน็ต เยลเลน ว่าที่ประธานเฟดคนต่อไป (ก.พ.57) ซึ่งมีแนวคิดแบบสายพิราบ เช่นเดียวกับ นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดคนปัจจุบัน น่าจะดำเนินโยบายการเงินตามแนวทางเดิม และในการแถลงการณ์ของประธานเฟคคนใหม่ที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ก็น่าจะคงนโยบายเศรษฐกิจเดิม ๆ โดยเฉพาะความมุ่งหวังที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อลดอัตราการว่างงานให้อยู่ระดับต่ำกว่า 7.3% ในขณะนี้ (เป้าหมายที่ 6.5%) รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.2% ซึ่งยังคงห่างไกลเป้าหมายที่ระดับ 2% จากถ้อยคำแถลงของ นางเจเน็ต เยลเลน แสดงให้เห็นว่า ความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ๆ ยังมี โดยมีความน่าจะเป็นไปได้ที่จะมีการปรับลด QE ในปีหน้า ซึ่งประเด็นนี้ถือว่าเป็นปัจจัยที่สะท้อนในราคาหุ้นหรือสภาพตลาดหุ้นในปัจจุบันไปแล้ว สะท้อนจากที่ตลาดหุ้นสหรัฐมีค่า Current P/E 16 เท่า แต่อย่างไรก็ตามตลาดอาจจะมีมุมมองเชิงบวกต่อสหรัฐ หลังจากที่มีการรายงบงวด 3Q56 ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐ ยังคงอยู่ในภาวะของการปรับเพิ่มประมาณการกำไร (EPS Growth) ซึ่งสวนทางกับตลาดหุ้นไทย ที่อยู่ในภาวะที่จะต้องปรับลด EPS Growth ในปีนี้ และปีหน้า ในสถานการณ์นี้ทำให้ภาวะการไหลออกของเงินทุนจากประเทศกำลังพัฒนาน่าจะยังมีอยู่ แม้ร่าง พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาท จะต้องผ่านวุฒิฯ ภายใน 22 พ.ย นี้ แต่ยังถูกเตะถ่วงต่อไป... ขณะนี้ ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท อยู่ระหว่างการพิจารณาของวุฒิสภาฯ (หลังจากการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร) ตามกระบวนการที่กำหนดตามกฎหมาย วุฒิสภาต้องใช้เวลาพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน (หลังจากวันที่รับเรื่องคือ 23 ก.ย.2556) แต่หากไม่ทันสามารถต่อระยะเวลาออกไปได้อีก 30 วัน ซึ่งตามเกณฑ์ดังกล่าวต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 22 พ.ย.2556 และหากวุฒิสภาฯ ยังไม่สามารถพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในกำหนด รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ถือว่า วุฒิสภาให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ฉบับนั้น ในที่สุดเมื่อผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภา โดยไม่มีการแก้ไข ก็จะนำกฎหมายดังกล่าวขึ้นสู่กระบวนการทูลเกล้าฯ และประกาศใช้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม หากมีผู้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ก็จะต้องรอผลการวินิจฉัยของศาลฯ ก่อนที่จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ และประกาศใช้ จากการประเมินในสถานการณ์ขณะนี้เชื่อว่าพรรคฝ่ายค้าน น่าจะดำเนินการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนุญพิจารณา ซึ่งหากเป็นไปตามคาดก็จะทำให้กฎหมายฉบับนี้อาจไม่ทันประกาศใช้ภายในปี 2556 แต่น่าจะทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณจากโครงการนี้เกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2557 (หรือปีงบประมาณ 2558) ได้เสร็จสิ้นกระบวนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร์ ซึ่งล่าช้ากว่ากำหนดเดิม นั่นหมายความว่าในการจัดทำประมาณ GDP Growth ในปี 2557 จะต้องตัดเงินลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ 2 ล้านล้านบาทออกไป ซึ่งหมายถึงจะต้องมีการทบทวนตัดลด GDP Growth ในปี 2556 และ 2557 ลงจากปัจจุบันที่ประเมินกันไว้ที่ 4% ในปี 2556 และ ระหว่าง 4.5-5% ในปี 2557 ซึ่งยังน่าจะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นต่อไป หุ้นไทยยังคงถูกต่างชาติเทขายอย่างต่อเนื่อง วานนี้นักลงทุนต่างชาติสลับกลับมาขายหุ้นในภูมิภาคอีกครั้งราว 693 ล้านเหรียญฯ โดยที่เป็นการขายสุทธิในในทุกประเทศอีกครั้ง ประเทศที่ถูกขายสูงสุดคือ ไต้หวัน โดยสลับกลับมาขายสุทธิราว 296 ล้านเหรียญฯ เช่นเดียวกับเกาหลีใต้สลับมาขายสุทธิราว 204 ล้านเหรียญฯ ส่วนไทย ยังคงขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 10 ราว 136 ล้านเหรียญฯ (4.3 พันล้านบาท, เพิ่มขึ้น 31% จากวันก่อนหน้า) ขณะที่อินโดนีเซียยังคงขายสุทธิเป็นวันที่ 8 ราว 48 ล้านเหรียญฯ (เพิ่มขึ้น 20%) และสุดท้ายคือฟิลิปปินส์สลับมาขายสุทธิเล็กน้อย ราว 9 ล้านเหรียญฯ ทั้งนี้เชื่อว่าประเด็นการเมืองยังคงมีน้ำหนักกดดันตลาด และ แรงขายต่างชาติ โดยมิใช่เพียงตลาดหุ้น และ ยังมีการขายตลาดตราสารหนี้อีก 4.2 พันล้านบาท ต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 วันหลังสุด และ ทำให้ยอดขายสุทธิสะสมตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. 2556 สูงถึง 4.2 หมื่นล้านบาท และที่น่าสังเกต วานนี้ต่างชาติ ยังเปิดสถานะ Short สุทธิถึง 2,004 สัญญา ในตลาดฟิวเจอร์ส ซึ่งทำให้เชื่อว่า นักลงทุนกลุ่มนี้จะยังคงขายสุทธิกดดันตลาดหุ้นไทยต่อไป สวนทางกับแรงซื้อระยะสั้นจากนักลงทุนสถาบัน ซึ่งน่าจะมีเพิ่มเติมจาก Trigger Fund 2 กอง ที่ได้ปิดการขายวานนี้ มูลค่ารวม 6 พันล้านบาท Current P/E ตลาดหุ้นไทยน่าจะขึ้นมายืนเหนือ 15 เท่าหากต้องปรับลด EPS ลงราว 5% แม้พรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายในการรายงานงบงวด 3Q56 แต่ขณะนี้ยังมีอีกจำนวนมากที่ยังมิได้รายงานออก แต่อย่างไรก็ตามในเบื้องเท่าที่ประเมินจากที่รายงานงบการเงินบางส่วน (ไม่เกิน 50% ของทั้งหมดก็ตาม) พบว่าส่วนใหญ่มีกำไรน้อยกว่าคาด และ ทำให้นักวิเคราะห์ ASP ได้ทยอยปรับลดไปบ้างแล้วดังที่รายงานไปก่อนหน้า และเมื่อวานนี้ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ ASP ได้ทำการปรับลดประมาณการเพิ่มเติมในหลายหุ้นคือ คือ M, SITHAI, MATCH และเช้านี้ TRUE รายงานออกมาต่ำกว่าคาดมาก (ขาดทุนมากกว่า) นักวิเคราะห์ ASP อยู่ระหว่างการปรับลดประมาณการ ติดตามอ่านใน Equity Talk เช้านี้ และรายละเอียดของการปรับประมาณการลงคือ TRUE ([email protected]) งวด 3Q56 ขาดทน 4.27 พันล้านบาท โดยหากตัดรายการพิเศษ คาดว่ายังขาดทุนจากการดำเนินงาน 3.88 พันล้านบาท ตกต่ำลง เทียบกับที่ขาดทุน 2.65 พันล้านบาทในงวดก่อนหน้า ทั้งนี้เกิดจากต้นทุน ในการตัดจ่ายเงินลงทุนในการขยายโครงข่าย 3G ที่เพิ่มขึ้น ในอัตราที่มากกว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้น จากการให้บริการภายใต้โครงข่าย 3G ใหม่ทั้ง 2 โครงข่าย (3G ภายใต้ความถี่ 2.1 เมกะเฮิรท และ 850 เมกะเฮิรท) ซึ่งมีต้นทุนที่ต่ำกว่า การให้บริการภายใต้สัมปทาน 2G เดิม และยังเกิดจากค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่สูงขึ้น จากการแข่งขันที่รุนแรง และเป็นที่สังเกตว่า TRUE ยังมีภาระในการตัดจ่ายสินทรัพย์ 2G ที่หมดสัมปทานไปแล้วอีก 6 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะต้องตัดจ่ายให้หมดก่อนสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน ก.ย. 2557 (หลังจากที่หักส่วนที่ตัดจ่ายไปในงวด 3Q56 แล้ว 2 พันล้านบาท) เทียบกับที่ TRUE มีส่วนของทุนเหลือเพียง 5 พันล้านบาท ซึ่งทำให้ TRUE จำเป็นต้องเร่งในการจัดตั้งกองทุน Infrastructure Fund ให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่ส่วนทุนจะติดลบ M (ซื้อ : FV@B 60) งวด 3Q56 แม้กำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้น 5% yoy และ 10% qoq แต่น้อยกว่าคาด เนื่องจาก ยอดขายต่อสาขาเดิมที่ลดลงจากผลกระทบเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว แม้จะได้ยอดขายจาก สาขาใหม่เข้ามาหนุนก็ตาม ขณะที่แนวโน้ม 4Q56 จะเติบโตมากขึ้นจากช่วงเทศกาลวันหยุดยาว แต่อย่างไรก็ตามกำไรงวด 9M56 คิดเป็นสัดส่วนเพียง 67% ของประมาณการเดิม ทำให้ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการกำไรปี 2556 ลง 8% ส่วนปี 2557 ปรับลง 12% จากประมาณการเดิม แต่กำไรปี 2557 ยังเติบโต 11% เมื่อเทียบกับปี 2556 MATCH (ซื้อ : FV@B 3.42) กำไรสุทธิงวด 3Q56 ต่ำกว่าคาด โดยลดลง 34%qoq (เพิ่มขึ้น 27%yoy) แม้รายได้จากการให้เช่าอุปกรณ์ฯและงานอีเวนท์จะเติบโต แต่ต้นทุนจากการจัดงานที่ค่อนข้างสูง กดดันต่อ Gross Margin รวมให้ลดลง แม้แนวโน้มกำไรงวด 4Q56 จะฟื้นตัวจากงวด 3Q56 ด้วยอานิสงส์ของฤดูกาลท่องเที่ยว แต่กำไรสุทธิ 9M56 คิดเป็นเพียง 69% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2556 ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2556 ลงราว 8.2% และปรับประมาณการปี 2557 ลงอีก 5% SITHAI (ซื้อ : FV@B 27.32) กำไรสุทธิงวด 3Q56 ลดลง 39%qoq และ 12%qoq ต่ำกว่าคาด จากรายได้ที่ลดลงทั้งในประเทศที่มีการกักตุนสินค้าในช่วงก่อนหน้าและต่างประเทศตามการส่งออกที่หดตัว ทำให้ Norm Profit Margin ใน 3Q56 ลดลงเหลือ 4.0% ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการกำไรปี 56 และ 57 ลง 3% จากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่สูงขึ้น ตามงบการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขาย AP (ซื้อ : FV@B 8.43) กำไรงวด 3Q56 ต่ำกว่าคาด โดยลดลง 10%qoq (เพิ่ม 15%yoy) จากค่าใช้จ่ายจากการขายและบริหารยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่รายได้ทรงตัว หรือ รับรู้รายได้ต่ำกว่าคาด กดดัน Norn Profit Margin แม้คาดว่าแนวโน้มงวด 4Q56 จะรับรู้รายได้จุดสูงสุดของปีหลังส่งมอบคอนโดฯ 2 โครงการใหม่ แต่อย่างไรโดยรวมงวด 9M56 กำไรจากการดำเนินงานคิดเป็น 53% ของประมาณการทั้งปี 2556 ฝ่ายวิจัยปรับลดกำไรปี 2556 ลง 23% แต่จะปรับเพิ่มกำไรในปี 2557 ขึ้น 14% เพราะรับรู้รายได้ ยอดโอนที่ล่าช้าในปี 2556 TK([email protected]) กำไรสุทธิงวด 3Q56 ต่ำกว่าคาด และ เป็นการชะลอตัวต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน เกิดจากการปล่อยสินเชื่อที่ไม่ได้ตามเป้าหมาย (9M56 ขยายตัว 7.2% เทียบกับเป้าหมาย 10%) ขณะที่ต้นทุนเพิ่มขึ้น ทั้งการตั้งสำรองหนี้ฯ และ ค่าใช้จ่ายทางการตลาดเนื่องจากากรแข่งขันที่รุนแรง โดยรวมได้ปรับลดประมาณการกำไรในปี 2556 และ 2557 ลงปีละ 12.65% ทำให้กำไรโดยรวมใน 1-2 ปี ค่อนข้างทรงตัว จึงปรับลดคำแนะนำเป็นถือ ในขณะที่หุ้นยังคงประมาณการ ได้แก่ BLA (ซื้อ : FV@B 82.61) กำไรสุทธิงวด 3Q56 ต่ำกว่าคาด 24.2% qoq แต่ยังเติบโต 16% yoy จากผลกระทบเรื่องเบี้ยประกันชีวิตรับสุทธิในงวดนี้หดตัวค่อนข้างรุนแรง รวมทั้งการลดลงกำไรและเงินปันผลจากเงินลงทุนสอดคล้องกับภาวะตลาดทุนที่ผันผวน โดยกำไรสุทธิใน 9M56 คิดเป็นสัดส่วน 70% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2556 ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการผลการดำเนินงานปี 2556-57 ไว้ โดยคาดการณ์ EPS Growth ปีนี้และปีหน้าสูงถึง 50.1% yoy และ 23.9% yoy ตามลำดับ SPALI (ซื้อ : FV@B 20.49) กำไรสุทธิงวด 3Q56 เพิ่มขึ้น 16%yoy มากกว่าคาด (แต่ลดลง 46.4% qoq) จาก Norm Profit Margin ที่ปรับเพิ่มขึ้น ทำให้งวด 9M56 กำไรรวมคิดเป็นสัดส่วน 34% ของประมาณการปี 2556 อย่างไรก็ตามยอดขายช่วง 4Q56 คาดจะสร้างสถิติรายได้สูงสุดใหม่ รวมทั้ง Backlog รองรับไปจนถึงปี 2558 นักวิเคราะห์ : ภรณี ทองเย็น เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยนักวิเคราะห์ : พบชัย ภัทราวิชญ์ กษิดิ์เดช รัตนสมบูรณ์
Posted on: Thu, 14 Nov 2013 03:00:58 +0000

Trending Topics



Recently Viewed Topics




© 2015