ลงต่อ วิตกต่อการลดขนาด - TopicsExpress



          

ลงต่อ วิตกต่อการลดขนาด QE และสงครามซีเรีย (2) ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ Mix หลังรายงานเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ดีขึ้น และคาดการโจมตีซีเรียอยู่ในวงจำกัด +/-ไฮไลท์ วันนี้ จับตา USA ISM non-mfg ส.ค. คาด 55 (Vs 56) การจ้างงานภาคเอกชนเดือน ส.ค. คาด +180k (จาก +200k) ผลประชุมธนาคารกลาง ยุโรป อังกฤษ ญี่ปุ่น มาเลเซีย คาดคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับเดิม 0.5% 0.5% 0-0.1% 3% ตามลำดับ ต่างชาติ กลับมาขายสุทธิ -387 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ +1307 ล้านบาท ส่วนเดือนกันยายน ขายสะสม -489 ล้านบาท ส่วนพอร์ตโบรกขายอีก -1349 ล้านบาทจาก -1697 ล้านบาท พาณิชย์ปรับเป้าส่งออกปีนี้เหลือ +2.68% จากเดิม +7-7.5% หลัง 7 เดือนแรก +0.6% (สศค.เตรียมปรับลดเป้าเศรษฐกิจ 26 ก.ย. นี้) ส่วนแบงก์ชาติคาดภาพรวมเศรษฐกิจครึ่งหลังปีนี้ จะชะลอตัวแต่ไม่ถดถอย หุ้นในกระแส แนะนำ : เทคนิค แนะนำเก็งกำไร PTTGC แนวต้าน 73.25/75 และขาย DCC แนวต้าน 59 UMI แนวต้าน 13.8/14.20 หุ้นขึ้นเครื่องหมาย XD วันนี้ EGCO 2.75 วันที่ 6/9 SCB 1.50 วันที่ 9/9 BAY BCP BECL MONTRI MSPF SSPF SSTPF หุ้นโมเมนตัมลบ (ลงแรงเกิน 4%) ได้แก่ TRUE UMI NMG GLOW WHA TIPCO ส่วนหุ้นบวกสวนตลาด ได้แก่ TOP BANPU CSS SUSCO UNIQ NVDR สูงสุดด้านซื้อ ได้แก่ KBANK+486 AOT+161 BBL+104 INTUCH+101 ขายสุทธิสูง BAY-224 SCC-203 CPALL-133 BANPU -105 หลักทรัพย์ที่มี Short Sell สูงสุด ได้แก่ ADVANC 180 TRUE 172 PTT144 INTUCH 108 SCC 92 KTB 91 หลักทรัพย์ที่มี Opp.Day วันนี้ THANA PJW SAT LOXLEY TKT SEAOIL เข้าซื้อขายในตลาดหุ้น MAI วันนี้ IPO 3.45 บาท Market Outlook: ลงต่อ วิตกต่อการลดขนาด QE และสงครามซีเรีย(2) คาดดัชนีฯ ลงต่อ แนวต้านหลัก 1310/1320 จุด แนวรับ 1295//1285 จุด การวิตกต่อการลดขนาด QE ของเฟดในช่วงกลางเดือนนี้ เป็นประเด็นหลักที่ส่งผลลบต่อทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้ อิงจากการเริ่มหันมาถือสกุลดอลล์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ที่สองหลังจากขายออกไปในช่วง 5 สัปดาห์ก่อนหน้า (ค่าเงินดอลล์สหรัฐฯแข็งค่าสุดรอบ 6 สัปดาห์เทียบสกุลสำคัญ วานนี้ +0.3% เป็น 82.342) และแนวโน้มสูงที่สหรัฐฯจะรายงานเศรษฐกิจที่ดีขึ้น (วานนี้ รายงาน Fed Beige Book สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และจะส่งผลให้โอกาสลดขนาด QE มีสูงขึ้น) และวันศุกร์ จะรอรายงานจ้างงานนอกภาคเกษตร ซึ่งตลาดคาดว่าจะมีการจ้างงานที่สูงขึ้น +180k (จาก +160k) ส่วนปัจจัยรอง คือ ความเสี่ยงของการเกิดสงครามในซีเรีย มีโอกาสเพิ่มขึ้นหลังจากรัสเซียไม่ได้ขัดขวางเหมือนแต่ก่อน และผู้นำเสียงข้างมากและเสียงข้างน้อยในสภาคองเกรส ต่างเห็นชอบกับข้อเสนอโจมตีซีเรียของประธานาธิบดีโอบามา (รอผลโหวตของสภาคองเกรสวันจันทร์ที่ 9 ก.ย. ) คงคำแนะนำ –Sell into Strength เป็นวันที่สาม ภายใต้ความไม่แน่นอนเรื่อง QE3 และโอกาสสูงที่สหรัฐฯ จะรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้น (ซึ่งจะส่งผลให้โอกาสลดขนาด QE3 มีสูงขึ้นในกลางเดือนกันยายน) ประกอบกับ ความเสี่ยงขาขึ้นของดัชนีฯ เริ่มมีจำกัด (30 กว่าจุด) แต่ความเสี่ยงขาลงอาจกลับไปที่จุดต่ำสุดเดิม 1260 จุด พอร์ตลงทุน – แนะนำทยอยลดพอร์ต หุ้นบลูชิพขนาดใหญ่ ที่อิงการบริโภคในประเทศ เช่น แบงก์ บ้าน ค้าปลีก วัสดุก่อสร้าง ฯลฯ คาดราคาหุ้นจะกลับมาอ่อนตัว หลังแนวโน้มกำไรบจ.ลดลง หากเกิดกระแสเงินทุนไหลออกจากกรณี QE และอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัว เนื่องจากภาระหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และค่าครองชีพที่สูงขึ้น และแนะนำสะสมเมื่ออ่อนตัว หุ้นอิงเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ได้แก่ ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์ โรงแรม นิคมอุตสาหกรรม รวมถึงเก็งกำไร หุ้นพลังงาน PTTEP PTT ทางเทคนิค : สัญญาณขายจะเกิดขึ้นอีกคร้ง หากดัชนีฯหลุดแนวรับจิตวิทยา 1300/1295 จุดลงไปในวันนี้ โดยมีแนวรับลักต่อไปที่ 1280/1260 จุด ในทางตรงกันข้าม การรีบาวด์ยังคงมีแนวต้านหลักที่ 1330/1335 จุด ประเด็นที่มีผลต่อตลาดหุ้นโลกและตลาดหุ้นไทย สัปดาห์นี้ Fact: 1. *Economic Update: ประเทศพัฒนาแล้วโดยเฉพาะในยุโรป ยังคงส่งสัญญาณ Bottom Out ของเศรษฐกิจ สะท้อนเม็ดเงินลงทุนจาก EM จะย้ายไปลงทุนใน DM เพิ่มขึ้น +UK: ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของอังกฤษ โดย Markit/CIPS พุ่งขึ้นสู่ระดับ 60.5 ในเดือน ส.ค. จาก 60.2 ในเดือน ก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2006 และดัชนีทรงตัวเหนือระดับ 50 เป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกันแล้ว ผลสำรวจพบว่า การขยายตัวของธุรกิจใหม่ในเดือนที่แล้วส่งผลให้ ภาคบริการของอังกฤษขยายตัวมากที่สุดในรอบเกือบ 7 ปี ซึ่งเป็นผลสำรวจที่ท้าทายมุมมองเชิงระมัดระวังของธนาคารกลางอังกฤษต่อภาวะเศรษฐกิจ +Germany ดัชนีคอมโพสิตผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ขั้นสุดท้ายของมาร์กิต ซึ่งประเมินการขยายตัวของทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ และครอบคลุมสัดส่วนมากกว่า 2 ใน 3 ของเศรษฐกิจเยอรมนี พุ่งขึ้นสู่ระดับ 53.5 ในเดือน ส.ค. จากระดับ 52.1 ในเดือน ก.ค. ผลสำรวจพบว่า ธุรกิจใหม่ที่ขยายตัวช่วยหนุนภาคเอกชนของ เยอรมนีขยายตัวสูงสุดในรอบ 7 เดือนในเดือน ส.ค. ซึ่งบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจของเยอรมนีจะขยายตัวสดใสในไตรมาสนี้ +/-USA เศรษฐกิจเติบโตดี รายงาน Beige Book ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวในอัตราเล็กน้อยถึงปานกลางในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศระหว่างต้นเดือน ก.ค. ถึงปลายเดือน ส.ค. +ยอดขายรถในสหรัฐพุ่งขึ้น 17 % ในเดือน ส.ค. โดยอัตราการขายในเดือนส.ค.อยู่ที่ 16.1ล้านคันต่อปี ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2007 –กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยยอดขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นเกินคาดเล็กน้อย 13.3% สู่ 3.91 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่การส่งออกลดลงและการนำเข้าเพิ่มขึ้น (Vs รอยเตอร์คาดว่า สหรัฐจะขาดดุลการค้า 3.87 หมื่นล้านดอลลาร์ ในเดือน ก.ค.เพิ่มขึ้นจาก 3.45 หมื่นล้านดอลลาร์ ในเดือนมิ.ย) 2. ความเสี่ยงขาลงของดัชนีฯ ยังคงมีอยู่ที่ 1260/1232 จุด ขณะที่โอกาสสูงที่การแรลลี่ของดัชนีฯ รอบนี้อาจต่ำกว่าสถิติที่ทุกครั้งจะปรับขึ้นกว่า 100 จุดหลังดัชนีฯ ลดลงรอบใหญ่ๆ 17% (ดูรายงานกลยุทธ์ วันที่ 13 ส.ค.) เรื่อง QE กับ SET พบว่า กรณีที่แย่สุด อิงระดับ PER เฉลี่ย 11.24 เท่า (ค่าเฉลี่ย 10 ปี – 0.5 SD) และ 13F EPS Growth 9% (KTZ) -19%(ค่าเฉลี่ยโบรก) อยู่ที่ 1130-1232 จุด ส่วนทาง Quant พบว่า ดัชนีตลาดฯมักมีการรีบาวด์รอบใหญ่ๆ เมื่อลดลง 17%จากระดับสูงสุด ซึ่งรอบนี้อยู่ที่ 1260 จุด แต่กรณีเลวร้ายสุดจะอยู่ที่ 1141 จุด อิงกรณีที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 8 ก.พ. – 10 เม.ย. 11 ดัชนีตลาดฯ ลดลงถึง -24.9% หลังสิ้นสุดข่าวดี QE 2 ทั้งนี้ การรีบาวด์จากระดับต่ำสุด คาดว่าจะมีอย่างน้อย 100 จุด (หรือเป้าหมายรีบาวด์รอบนี้อยู่ที่ 1360 จุด) 3. G-20 Meeting ของผู้นำประเทศ 2 วันนี้ เริ่มวันแรก ที่รัสเซีย คาดผลประชุมจะส่งสัญญาณการออกมาตรการเพื่อมุ่งเน้นที่การเติบโต (Growth) ความมีเสถียรภาพทางการเงิน การเพิ่มปริมาณแรงงานที่มีคุณภาพ (ลดการว่างงาน) ผ่านการสนับสนุนการลงทุนระยะยาว การเพิ่มประสิทธิภาพของผู้คุมระเบียบให้มีความโปร่งใส และน่าเชื่อถือ รวมถึงประเด็นซีเรีย ที่อาจมีการแสดงความเห็นว่าประเทศชั่นนำส่วนใหญ่ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย กับข้อเสนอโจมตีของสหรัฐฯ 4. รัฐบาลเตรียมหารือหามาตรการหนุนกำลังซื้อ หลังปรับขึ้นค่าไฟ LPG ครัวเรือน ค่าผ่านทาง ต้นเดือน ก.ย. +ลุ้นมาตรการเพิ่มกำลังซื้อของรัฐ : น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เรียกประชุมทีมเศรษฐกิจทั้งหมดเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือประชาชน หลังจากมีการประกาศปรับขึ้นราคาก๊าซแอลพีจีภาคครัวเรือน ค่าไฟฟ้าเอฟที และค่าทางด่วน ผลกระทบต่อหุ้นรายหลักทรพย์ : การปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม จะนำรายได้ที่เพิ่มไปเข้ากองทน Oil Fund ทำให้ไม่มีบริษัทฯใดได้รับผลลประโยชน์จากการปรับขึ้นราคา ขณะที่การปรับขึ้นค่าผ่านทางด่วน จะเป็นผลบวกต่อ BECL (แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 47 บาท โดยคาดจะจ่ายปันผลปี 13-14F จำนวน 1.63 บาทและ 2.09 บาทตามลำดับ) และการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า จะเป็นผลบวกต่อ GLOW (ราคาพื้นฐาน 75 บาท แต่อยู่รหว่างการปรับไปใช้ประมาณการปี 57F) คาดปันผลปีนี้ 2.50 บาท ยิลด์ปันผล 3.9% Outlook: 1. +/- รายงานเศรษฐกิจสำคัญวันพฤหัสและศุกร์ จับตา *การจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯเดือน ส.ค. *2Q56F GDP ของยุโรป ครั้งที่2, *ผลประชุมธนาคารกลางยุโรป อังกฤษ ญี่ปุ่น USA: จับตาสัญญาณตัวเลขเศรษฐกิจ (ยิ่งดีขึ้น จะทำให้โอกาสลดขนาด QE มีสูง) ไฮไลท์อยู่ที่ การจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ส.ค. และอัตราว่างงาน (วันศุกร์) ตลาดคาด +180 k (จาก +162k) และ 7.4% เท่าเดิม EU : จับตา ผลประชุมธนาคารกลางยุโรปและอังกฤษ (วันพฤหัสฯ) คาดคงดอกเบี้ยที่ 0.5% Japan: จับตา BOJ Meeting (วันพฤหัสฯ) คาดคงดอกเบี้ยที่ 0-0.1% 2. - ซีเรีย โอกาสเกิดสงครามมีความเป็นไปได้สูงขึ้น หลังผู้นำสภาต่างเห็นด้วยกับการโจมตีซีเรีย ทำให้โอกาสโหวตจากสภาคองเกรส 9 ก.ย. มีโอกาสโจมตีซีเรียมากขึ้น (+กลุ่มน้ำมัน –กลุ่มสายการบิน) *USA เมื่อวานนี้ คณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ประจำวุฒิสภาสหรัฐได้อนุมัติมติการแทรกแซงทางทหารที่จำกัดของสหรัฐในซีเรีย ซึ่งจะมีการอภิปรายในวุฒิสภาในสัปดาห์หน้าเกี่ยวกับการใช้กำลังทหาร ส่วนคณะบริหารของปธน.โอบามากำลังขอการสนับสนุนจากสภาคองเกรสในการลงโทษประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดของซีเรียเกี่ยวกับการใช้อาวุธเคมีกับประชาชน โดยตลาดได้รับแรงกดดันเกี่ยวกับสถานการณ์ที่อาจจะลุกลามในตะวันออกกลาง *รัสเซีย อาจสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารโจมตีซีเรีย ถ้าหากมีการตรวจพบว่า รัฐบาลซีเรียได้ใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชน แต่ปฏิบัติการโจมตีซีเรียสามารถดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากสหประชาชาติ ท่าทีของปธน.ปูตินในครั้งนี้ถือได้ว่าเปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้านี้ ที่เขามักแสดงความเห็นคัดค้านปฏิบัติการทางทหารต่อซีเรีย *ผลโหวต 9 ก.ย. มีความเป็นไปได้สูงที่จะสนับสนุนการโจมตีซีเรีย ประธานาธิบดีบารัค โอบามาของสหรัฐเรียกร้องให้สภาคองเกรสรีบอนุมัติการใช้กำลังทางทหารต่อซีเรีย และเขาได้รับการสนับสนุนจากผู้นำพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันในสภาผู้แทนราษฎรสำหรับการโจมตีในวงจำกัดต่อกองกำลังของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดของซีเรีย Comment (ดูรายงาน กลยุทธ์เรื่องซีเรีย วันที่ 5/9/56) : เราคาดว่ามีโอกาสสูงเกิน 50% ที่สหรัฐฯจะตัดสินใจโจมตีซีเรีย หลังจากประธานาธิบดีโอบามา ตัดสินใจว่าจะใช้วิธีการโหวตทางสภาคองเกรส 9 ก.ย. นี้ เพื่อเป็นตัวตัดสิน ซึ่งถือเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจเอเชีย ที่มีสัดส่วนการนำเข้าน้ำมันดิบ/GDP ในสัดส่วนที่สูง โดยเฉพาะไทย ที่สูงสุดถึง 9.2% ของ GDP รองลงมาคือ เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ อินเดีย เพราะอาจหมายถึงเป็นการหาทางลงที่ดูดีที่สุดสำหรับประธานาธิบดีโอบามา ที่จะไม่ต้องเสียหน้ากับสิ่งที่เคยประกาศไปล่วงหน้าแล้วว่าจะโจมตีซีเรีย เหมือนกรณีสภาอังกฤษ เราคาดว่า กรณีที่สหรัฐฯตัดสินใจโจมตีซีเรีย จะส่งผลบวกอีกครั้งต่อราคาน้ำมันดิบและหุ้นอิงราคาน้ำมันดิบ PTT PTTEP และเป็นลบต่อหุ้นกลุ่มสายการบิน และหุ้นอิงเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว เช่น แบงก์ ฯลฯ 3. /+QE ยังคงมีความไม่แน่นอนว่าจะมีการลดขนาดหรือไม่ ในการประชุมเฟด 17-18 กย *รายงาน Beige Book ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวในอัตราเล็กน้อยถึงปานกลางในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศระหว่างต้นเดือน ก.ค. ถึงปลายเดือน ส.ค. ซึ่งแข็งแกร่งเพียงพอที่จะตอกย้ำแนวโน้มการปรับลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของเฟด Comment : เราคาดว่า เฟดจะรอรายงงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร เดือน ส.ค. (วันศุกร์) ก่อนที่จะมีการตัดสินใจว่าจะมีการลดขนาด QE หรือไม่ ทั้งนี้ ตลาดยังคงให้โอกาส 65% ที่เฟดจะมีการลดขนาดการซื้อสินทรัพย์ลงจากปัจจุบัน $85bn./เดือน อิง 1. ตลาดแรงงาน ยังคงดีขึ้นต่อเนื่อง โดยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ น้อยกว่า 350k ตลอดช่วง 6 สัปดาห์ และลดลงเหลือ 330k สำหรับค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ล่าสุด (ต่ำสุดตั้งแต่สัปดาห์สิ้นสุด 17 ก.ย. 2007) 2.ผลประชุมเฟดล่าสุด อิงเศรษฐกิจเดือนกค ยังคงมีการเติบโต แม้อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นอย่างมีนัย 3.ผลประชุม FOMC ล่าสุด ไม่ได้มีใครขัดแย้งกับแผนลดขนาดของ ประธานเฟด เบน เบอร์นาเก้ เราคาดว่า การปรับลดขนาดการซื้อสินทรัพย์ QE หากเกิดขึ้นในกลางเดือนกันยายน จะทำแบบค่อยเป็นค่อยไปคือจะไม่มีการลดแบบต่อเนื่องด้วยจำนวนเท่ากันทุกเดือน แต่จะอิงสถานะการณ์เศรษฐกิจเป็นสำคัญ เพื่อสามารถประเมินสถานะการณ์ความผันผวนของสินทรัพย์เสี่ยงทุกอย่าง ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยทำให้ความเสี่ยงขาลงของตลาดหุ้นโลก มีจำกัด (อาจมีการซื้อคืน หลังประเมินภาพที่แย่สุดๆ ไปแล้ว) กลยุทธ์ลงทุน: - Upside อยู่ที่ 1350/1380 จุด ส่วน Downside Risks อยู่ที่ 1130-1232 จุด - Portfolio เดือนกันยายน (ดูรายงาน วานนี้) : แนะนำ ถือหุ้น 50% ทองคำ 5% สัญญา SHORT SET50 INDEX (S50U13) 10% เท่าเดิม แต่เพิ่มน้ำมันดิบเป็น 10% (จาก 5%) และลดพันธบัตรเป็น 25% (จาก 30%) Outlook: แนวโน้มดัชนีฯ เดือน ก.ย. คาดลดลง แนวรับ 1247/1228 จุด แนวต้าน 1350/1380 จุด อิงผลประชุมเฟด 17-18 ก.ย. ซึ่งมีโอกาส 65% ที่จะมีการประกาศลดขนาด QE เป็นครั้งแรก ทำให้ประเทศไทย ซึ่งมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อ GDP (ดีกว่าอินเดีย อินโดนีเซีย แต่แย่กว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ) และเศรษฐกิจชะลอตัว (เกิด Technical Recession ใน 2Q56) เป็นหนึ่งในเป้าหมายแรกๆ ที่ต่างชาติอาจเพิ่มแรงขายอย่างมีนัย Performance: สถิติเดือน ก.ย. ย้อนหลัง 10 ปี (ปี 46-55) พบว่ามีโอกาส 70% ที่ดัชนีฯ ปิดสูงขึ้น ด้วยอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย +0.70%m-m Max +9.62% (ปี 52) Min -14.30% (ปี 54) ขณะที่เดือน ต.ค. มีโอกาสปรับขึ้นเหลือเพียง 50% ด้วยอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย -0.85% Portfolio: พอร์ตหุ้นแนะนำกระจายลงทุนไปในหลายอุตสาหกรรม เพื่อลดความเสี่ยง โดยหุ้นแนะนำ ได้แก่ ถือต่อ : BECL BTS INTUCH (Dividend Play) VGI (High growth) CENTEL (ได้ ประโยชน์จากบาทอ่อน) เพิ่ม : GFPT DELTA (กลุ่มส่งออก ได้ประโยชน์จากบาทอ่อนค่า) PTTEP (High Correlation กับราคาน้ำมันดิบ) STEC (ความเสี่ยงต่ำสุดในกลุ่มรับเหมาฯ ลุ้นรับข่าวบวกสภาผ่านร่างพ.ร.บ.โครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท) SCB (Low risk- High Return คาดฟื้นตัวได้เร็ว หลังเป็นหุ้นแบงก์ใหญ่ที่ราคาร่วงแรงสุดในเดือนก่อน) ถอด : STPI THCOM LOXLEY SC WORK (ยังไม่มีข่าวบวกสนับสนุนในระยะสั้นๆ) รายสัปดาห์ –แนะนำทยอยขายบริเวณ 1300 จุด เพือกลับมาซื้อคืนที่บริเวณเดิม 1260/1220 จุด สรุปภาวะซื้อขายของตลาดหุ้นไทย และการซื้อขายแยกตามประเภทนักลงทุนต่างๆ วันที่ 3 กันยายน 56 Market Brief SET Index ปิดที่ระดับ 1303.21 จุด -12.20 จุด -0.93%d-d (กรอบสูงสุด-ต่ำสุด 1319.14 – 1301.37 จุด) ด้วยวอลุ่มซื้อขายลดลงเหลือ 3.31หมื่นลบ โดยดัชนีฯ ทรงตัวในแดนบวกได้ในช่วงแรกของการซื้อขาย จากแรงหนุนของหุ้นกลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี แต่ในที่สุดก็มีแรงขายทำกำไรช่วงท้ายตลาด หลังกลุ่ม TIPs ปรับลดลงเฉลี่ยกว่า 1% จำนวนหุ้นที่ปรับลดลง เพิ่มเป็น 457 จาก 451หลักทรัพย์ และจำนวนหุ้นที่ปรับสูงขึ้น ลดลงเหลือ 223 จาก 250 หลักทรัพย์ กลุ่มอุตฯ ที่ปรับเพิ่มขึ้น สูงสุด ได้แก่ ปิโตรฯ +1.61% พลังงาน +0.34% และกลุ่มอุตฯ ที่ปรับลดลงสูงสุด คือ วัสดุก่อสร้าง -2.31% ICT -2.06% อาหาร -1.57% หุ้นโมเมนตัมลบ (ลงแรงเกิน 4%) ได้แก่ TRUE UMI NMG GLOW WHA TIPCO ส่วนหุ้นบวกสวนตลาด ได้แก่ TOP BANPU CSS SUSCO UNIQ Type of Investors ต่างชาติกลับมา ขาย สุทธิ ส่วนกองทุนในประเทศ ซื้อต่อเป็นวันที่ 3 และพอร์ตโบรก ขายต่อเป็นวันที่ 2 Foreign Investor: ต่างชาติ กลับมาขายสุทธิ -387 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า ซื้อสุทธิ +1307 ล้านบาท ส่วนเดือนกันยายน ขายสะสม -489 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันในประเทศ ซื้อต่อเป็นวันที่ 3 อีก + 742 ล้านบาท รวม 3 วันซื้อสะสม +3176 ล้านบาท ส่วนเดือนกันยายน ซื้อสะสมสุทธิ +3176 ล้านบาท . ส่วนพอร์ตโบรกเกอร์ ขายต่ออีก -1349 ล้านบาท รวม 2 วันขายสะสม -3046 ล้านบาท ส่วนเดือนกันยายน ขายสะสม - 2110 ลบ. ข่าวบริษัทจดทะเบียน WHA มีแผนรุกธุรกิจสร้างคลังสินค้าในต่างประเทศ ประเดิมที่ประเทศพม่าเป็นแห่งแรก พร้อมหวังชนะประมูลโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบโซลาร์รูฟ 30-50 เมกกะวัตต์ นายแพทย์สมยศ อนันตประยูร ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยว่า ในปีหน้าบริษัทฯจะเข้าไปลงทุนก่อสร้างคลังสินค้าที่ประเทศพม่า เนื่องจากมีลูกค้าของบริษัทจะไปขยายการลงทุน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าญี่ปุ่น -ขณะที่บริษัทฯ เตรียมยื่นประมูลโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา(โซลาร์รูป)เร็วๆนี้ ซึ่งบริษัทฯหวังว่าจะได้ประมาณ 30-50 เมกกะวัตต์ จากในครั้งแรกที่เข้าประมูล นอกจากนั้นคาดว่าปีหน้าจะมีการนำโซลาร์รูฟมาจัดตั้งเป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ซึ่งหากบริษัทฯประมูลได้ 30-50 เมกกะวัตต์ ก็จะนำไปจัดตั้งเป็นกองทุนโครงสร้างพื้นฐานได้ประมาณ 20-30 เมกกะวัตต์ มูลค่าประมาณ 2,000-3,000 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถจัดตั้งกองทุนดังกล่าวได้ประมาณไตรมาส 2-3 ปีหน้า KBANK มั่นใจรายได้ค่าฟีจากธุรกิจรายใหญ่โตเกิน 10% ตามเป้า สอดคล้องกับการปล่อยกู้รายใหญ่ที่ทำได้ตามเป้าแล้วโต 4-6% KBANK มั่นใจรายได้ค่าฟีจากธุรกิจรายใหญ่ได้ตามเป้า โตเกิน 10% ส่วนสินเชื่อรายใหญ่เข้าเป้าแล้วโต 4-6% ขณะที่ยอดเงินฝากลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ คาดปีหน้าแตะ 3 แสนลบ. รายได้ค่าฟีโต 12-16% ล่าสุดเปิดตัวบริการ K-CONNEXนวัตกรรมที่ทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่ มองเห็นกระแสเงินของบริษัทในเครือข่ายได้ทั้งหมด กสทช.สั่ง TRUE หยุดโฆษณาบนจอระหว่างเปลี่ยนช่องรายการ ฝ่าฝืนปรับไม่เกิน 5 ลบ. และอีกวันละไม่เกิน 1 แสนบาทตลอดระยะเวลาที่ยังไม่ได้ดำเนินการ นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (เลขาธิการ กสทช.) กล่าวว่า สำนักงาน กสทช.ได้มีหนังสือลงวันที่ 3 กันยายน 2556 ถึง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทรูวิชั่นส์ จำกัด ขอให้ระงับการดำเนินการภาพประกอบบนแถบแสดงข้อมูลขณะเปลี่ยนช่องรายการโทรทัศน์ หากบริษัทไม่ดำเนินการจะต้องถูกปรับทางปกครองไม่เกิน 5 ล้านบาท และปรับทางปกครองอีกวันละไม่เกิน 100,000 บาทตลอดเวลาที่ยังไม่ได้ดำเนินการ ทั้งนี้ หากบริษัทฯ ไม่พอใจในคำสั่งดังกล่าว สามารถใช้สิทธิโต้แย้งโดยการฟ้องคดีต่อศาลปกครองภายใน 90 วัน นับตั้งแต่ได้รับหนังสือ NOBLE โชว์มีงานในมือล่าสุดแตะ 1.3 หมื่นลบ. คาดทยอยรับรู้ปีนี้-ปี58 พร้อมคงเป้ายอดขายปีนี้ที่ 7-7.5 พันลบ. นายกิตติ ธนากิจอำนวย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE เปิดเผยว่า ล่าสุดบริษัทฯ มีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ที่ 13,000 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปีนี้ไปจนถึงปี 2558 ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายยอดขายปีนี้ที่ 7-7.5 พันล้านบาท หลังครึ่งปีแรกทำยอดขายไปแล้วมากกว่า 3,500 ล้านบาท เนื่องจากผู้บริโภคยังมีกำลังซื้อ โดยบริษัทฯ จับกลุ่มลูกค้าในระดับบนซึ่งเป็นวัยทำงาน มีเงินเดือนประจำ 30,000 บาทขึ้นไป ดังนั้น สภาวะเศรษฐกิจชะลอจึงไม่กระทบยอดขายของบริษัทฯ ขณะที่ไทยจะเปิด AEC ทำให้เศรษฐกิจไทยคึกคัก ต่างชาติยังแห่เข้ามาลงทุน ดังนั้น ภาพรวมของเศรษฐกิจจึงยัง SEAOIL วันแรกลุ้นวิ่งเหนือจองงานนี้วัดใจ KGI "ซีออยล์" เทรดวันนี้ บล.เคจีไอจัดเต็ม ลั่นหุ้นวิ่งเหนือจองไอพีโอ 3.45 บาท ย้ำพื้นฐานหุ้นแกร่ง ราคาจูงใจให้ส่วนลดถึง 44% ย้ำพีอีหุ้นต่ำไม่ถึง 8 เท่า ผู้ถือหุ้นเดิมยันไม่ขายออก แม้มีส่วนที่ไม่อยู่ในระยะห้ามขายหุ้น 45% พร้อมให้ราคาเป้าหมาย 4.90 บาท คาดการณ์ธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ข่าวเศรษฐกิจ : 1. ซีเรีย-การโจมตียังคงไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้ และราคาน้ำมันอาจไม่ปรับขึ้นแรง นายไมเคิล วิทเนอร์ หัวหน้านักวิเคราะห์น้ำมันของธนาคารโซซิเอเต เจเนอราลกล่าวว่า "ดูเหมือนจะมีการเลื่อนกำหนดเวลาในการแทรกแซงทางทหารในซีเรียออกไปในช่วงนี้ โดยก่อนหน้านี้นักลงทุนในตลาดน้ำมันเคยปรับตัวรับการคาดการณ์ที่ว่า อาจจะมีการโจมตีซีเรียในช่วงสุดสัปดาห์นี้ แต่ปัจจุบันนี้ดูเหมือนว่าการโจมตีจะเกิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดก็ในสัปดาห์หน้า" ทำเนียบขาวระบุในวันพฤหัสบดีว่า ทำ เนียบขาวกำ ลังพิจารณามาตรการตอบรับในวงจำ กัดต่อผลการตรวจสอบกรณีที่ซีเรียใช้อาวุธเคมี บริษัท PIRA ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านพลังงานของสหรัฐระบุว่า ซาอุดิอาระเบียจะผลิตน้ำมันดิบ 10.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงเป็นประวัติการณ์ในไตรมาสสามของปีนี้ เพื่อช่วยสร้างสมดุลในตลาด 2. *USA เมื่อวานนี้ คณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ประจำวุฒิสภาสหรัฐได้อนุมัติมติการแทรกแซงทางทหารที่จำกัดของสหรัฐในซีเรีย ซึ่งจะมีการอภิปรายในวุฒิสภาในสัปดาห์หน้าเกี่ยวกับการใช้กำลังทหาร ส่วนคณะบริหารของปธน.โอบามากำลังขอการสนับสนุนจากสภาคองเกรสในการลงโทษประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดของซีเรียเกี่ยวกับการใช้อาวุธเคมีกับประชาชน โดยตลาดได้รับแรงกดดันเกี่ยวกับสถานการณ์ที่อาจจะลุกลามในตะวันออกกลาง 3. *รัสเซีย อาจสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารโจมตีซีเรีย ถ้าหากมีการตรวจพบว่า รัฐบาลซีเรียได้ใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชน แต่ปฏิบัติการโจมตีซีเรียสามารถดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อได้รับความเห็นชอบจากสหประชาชาติ ท่าทีของปธน.ปูตินในครั้งนี้ถือได้ว่าเปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้านี้ ที่เขามักแสดงความเห็นคัดค้านปฏิบัติการทางทหารต่อซีเรีย 4. Crude Oil Contract-เฮดจ์ฟันด์และผู้จัดการกองทุนอื่นๆได้ปรับเพิ่มสถานะการลงทุน โดยเพิ่มคาดการณ์เกี่ยวกับราคาน้ำมันดิบสหรัฐเป็นครั้งแรกในรอบ 5 สัปดาห์ในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 27 ส.ค. ซึ่งเป็นระดับการลงทุนสูงสุดเป็นประวัติการณ์อัน ดับ 2 ก่อ น ที่ส ห รัฐ อ า จ จ ะ ทำ ก า ร โ จ ม ตีซีเ รีย ทั้ง นี้ สัญ ญ า ล่ว ง ห น้า แ ล ะ อ อ ป ชั่น ข อ ง ส ถ า น ะ ซื้อ สุท ธิเพิ่มขึ้น 19,414 สัญญา สู่ 361,725 สัญญา ซึ่งเท่ากับปริมาณน้ำมันตามสัญญามากกว่า360 ล้านบาร์เรล และต่ำกว่าระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่เข้าทดสอบในปลายเดือนก.ค.อยู่เพียง 26,000 สัญญา 5. +UK: ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของอังกฤษ โดย Markit/CIPS พุ่งขึ้นสู่ระดับ 60.5 ในเดือนส.ค. จาก 60.2 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2006 และดัชนีทรงตัวเหนือระดับ 50 เป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกันแล้ว ผลสำรวจพบว่า การขยายตัวของธุรกิจใหม่ในเดือนที่แล้วส่งผลให้ ภาคบริการของอังกฤษขยายตัวมากที่สุดในรอบเกือบ 7 ปี ซึ่งเป็นผลสำรวจที่ท้าทายมุมมองเชิงระมัดระวังของธนาคารกลางอังกฤษต่อภาวะเศรษฐกิจ 6. +Germany ดัชนีคอมโพสิตผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ขั้นสุดท้ายของมาร์กิต ซึ่งประเมินการขยายตัวของทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ และครอบคลุมสัดส่วนมากกว่า 2 ใน 3 ของเศรษฐกิจเยอรมนี พุ่งขึ้นสู่ระดับ 53.5 ในเดือนส.ค. จากระดับ 52.1 ในเดือน ก.ค. ผลสำรวจพบว่า ธุรกิจใหม่ที่ขยายตัวช่วยหนุนภาคเอกชนของ เยอรมนีขยายตัวสูงสุดในรอบ 7 เดือนในเดือน ส.ค. ซึ่งบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจของเยอรมนีจะขยายตัวสดใสในไตรมาสนี้ 7. +/-USA เศรษฐกิจเติบโตดี รายงาน Beige Book ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวในอัตราเล็กน้อยถึงปานกลางในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศระหว่างต้นเดือน ก.ค. ถึงปลายเดือน ส.ค. +ยอดขายรถในสหรัฐพุ่งขึ้น 17 % ในเดือน ส.ค. โดยอัตราการขายในเดือน ส.ค.อยู่ที่ 16.1 ล้านคันต่อปี ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2007 -กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยยอดขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้นเกินคาดเล็กน้อย 13.3% สู่ 3.91 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่การส่งออกลดลงและการนำเข้าเพิ่มขึ้น (Vs รอยเตอร์คาดว่า สหรัฐจะขาดดุลการค้า 3.87 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นจาก 3.45 หมื่นล้านดอลลาร์ ในเดือนมิ.ย) 8. ADB เตรียมปรับลดเป้าเติบโตเศรษฐกิจไทยปีนี้เป็น 4-4.3% จากเดิม 4.9% ในช่วงต้นเดือนตุลาคมนี้ เนื่องจากส่งออกไม่เป็นไปตามคาดการณ์ และคาดมาตรการลด QE จะส่งผลกระทบต่อ ประเทศไทย น้อยกว่า อินโดนีเซีย อินเดีย เนื่องจากมีทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง และพื้นฐานเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี 9. ไทย- คณะรัฐมนตรี(ครม) เศรษฐกิจ เตรียมเชิญผู้ผลิตและผู้ส่งออกร่วมหารือในปลายสัปดาห์นี้ หรือต้นสัปดาห์หน้า เพื่อกำหนดมาตรการส่งเสริมการส่งออกและเพิ่มกำลังการผลิต โดยเฉพาะการใช้สินค้าเกษตรในประเทศ ให้มากขึ้น ตัวอย่างสินค้าที่จะมีการหารือกันถึงมาตรการช่วยเหลือ เช่น การเพิ่มการผลิตสินค้าที่มียางพาราเป็นวัตถุดิบ ก็จะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ บริษัทผลิต ถุงยาง ถุงมือยาง และยางรถยนต์ เข้ามาหารือ เพื่อให้ช่วยเพิ่มความต้องการใช้ ยางพาราให้มากขึ้น หรือในกรณีสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ จะมีการหารือ ถึงแนวทางการช่วยเหลือให้มีการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี จากฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ ไปสู่การผลิตเพื่อใช้ในแท็บเลตมากขึ้น หุ้นแนะนำ ตามปัจจัยพื้นฐาน : CK แนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน 26.50 บาท เราเชื่อว่าการที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ รฟม. (MRTA) เซ็นสัญญาว่าจ้างให้ บมจ.รถไฟฟ้ากรุงเทพ (BMCL) บริหารการเดินรถไฟฟ้าสาย สีม่วงจะส่งผลบวกต่อราคาหุ้น CK ในระยะสั้น เราจึงคงแนะนำ “ซื้อ CK” ด้วยราคาเป้าหมาย (SOTP)ที่ 26.50 บาท จากแนวโน้มกำไรสดใส ตามแผนการลงทุนในโครงการเมกกะโปรเจ็คของภาครัฐ ข่าวดังกล่าวน่าจะเป็นบวกต่อ CK (ถือหุ้น 16.64% ใน BMCL) เนื่องจาก BMCL รอเซ็นสัญญาดังกล่าว ตั้งแต่ชนะประมูลในปี 55 แล้ว ทั้งนี้ เมื่อเดือน ต.ค. 55 ที่ผ่านมา BMCL มอบหมายให้ CK เป็นผู้บริหารโครงการในการจัดหาระบบรถไฟฟ้าและติดตั้งอุปกรณ์งานระบบ (M&E) ที่จำเป็นสำหรับการเดินรถไฟฟ้า พร้อมจัดหาแหล่งเงินทุนมาดำเนินโครงการ โดยมีมูลค่าโครงการ 20.8 พันล้านบาท ประกอบด้วยมูลค่าระบบอุปกรณ์ 14.4 พันล้านบาท และต้นทุนทางการเงิน 6.4 พันล้านบาท ซึ่งการติดตั้งต้องแล้วเสร็จภายใน 1,200 วัน โครงการดังกล่าวจะเพิ่มมูลค่าให้กับ BMCL เนื่องจาก MRTA จะจ่ายค่าจ้างบริหารการเดินรถจำนวนรวม 5.9 หมื่นล้านบาทตลอดช่วงอายุสัญญาสัมปทาน 30 ปี โดยจากประมาณการของที่ปรึกษาทางการเงินอิสระของ BMCL โครงการดังกล่าวคาดว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่า DCF ให้กับ BMCL ราว 2,658 ล้านบาท หรือ 0.22 บาทต่อหุ้น BMCL และมี upside ต่อราคาเป้าหมาย CK ราว 0.50 บาท INTUCH แนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน 116 บาท จากข้อมูลหลังปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นล่าสุด พบว่า บจ. ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ ขายหุ้น INTUCH ที่ถืออยู่ 3.35% ออกไปหมดแล้ว ซึ่งจะช่วยคลายความกังวลเรื่องการขายหุ้น big lot รวมทั้งช่วยเพิ่ม free float ให้ INTUCH จาก 55% เป็น 58% เรามองว่า INTUCH มีความน่าสนใจจากอัตราผลตอบแทนจากปันผลปี 57 ที่คาดถึง 6.4% อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันยังซื้อขายโดยมีส่วนลด 19% จาก NAV บจ. ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ INTUCH ที่ถือหุ้นอยู่ 23.64% (สิ้นปี 55) แต่ในระหว่างปีนี้ได้ทยอยขายหุ้น INTUCH ออกมาตลอด โดยครั้งสุดท้ายที่มีรายงานการซื้อขายหุ้นต่อ ก.ล.ต. (4 ก.ค. 56) ซีดาร์มีสัดส่วนการถือหุ้น INTUCH เพียง 3.35% และหลังจากปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของ INTUCH ล่าสุด (27 ก.ค. 56) พบว่าซีดาร์ขายหุ้น INTUCH ทั้งหมด แนวโน้มกำไรช่วงครึ่งปีหลังของบริษัทยังคงสดใสจาก 1) ส่วนแบ่งกำไรจาก ADVANC ที่คาดจะเพิ่มขึ้น ตามการโอนย้ายลูกค้ามาใช้บริการ 3G ได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าใช้คลื่น ภายใต้สัมปทานเดิมได้ และ 2) รายได้จาก THCOM ที่จะเพิ่มขึ้นจากรายได้จากการให้บริการดาวเทียมไอพีสตาร์ในจีน การให้บริการดาวเทียมชั่วคราว และดาวเทียมไทยคม 6 DCC แนะนำ ทยอยขาย ราคาพื้นฐาน 57 บาท (จุดเด่นคือปันผลดี คาดจ่ายปี 56-57F 3.45บาท และ 3.71 บาท โมเมนตัมการขายที่ซบเซาลงตามแนวโน้มตลาดกระเบื้องในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ลดลง ทำให้เราต้องปรับลดประมาณการกำไรปี 56-57 ลงจากเดิม 6% และได้มูลค่าพื้นฐานใหม่ 57 บาท (DDM ปี 57) ราคาหุ้นล่าสุดเต็มมูลค่าพื้นฐาน และมี PER 15 เท่า และคาดปันผลตอบแทน 6.5% ใน ปี 57 แนวโน้ม 2H56 ตลาดตลาดกระเบื้องจะซบเซาลงต่อเนื่องตามกำลังซื้อที่ลดและฤดูฝนที่ล่าช้า สำหรับ 3Q56 บริษัทมียอดขายใน 2 เดือนแรกทรงตัวYoY (ปริมาณขายลด แต่ราคาขายเฉลี่ยดีขึ้น) ขณะที่ตลาดรวมมีการแข่งขันลดราคาเราปรับกำไรปี 56-57 ลดลงจากเดิม 6% ต่อปี เป็น 1.4 พันล้านบาท และ 1.5 พันล้านบาท ตามลำดับ สะท้อนการปรับลดปริมาณขายลง 6% เป็น 58 ล้านตร.ม. และ 61 ล้านตร.ม.ตามลำดับ โดยคาดยอดขายโต 5% และ 6% ในปี 56 และ 57 และคาดอัตรากำไรขั้นต้น 40.5% ในปี 56 และ 40.8% ในปี 57 PTTEP แนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน 186 บาท เราเชื่อว่ากลยุทธ์การขยายการลงทุนในโครงการ unconventional ( LNG, Oil Sands) จะช่วยขยายฐานปริมาณสำรองรวมทั้งการเติบโตด้านปริมาณผลิต และกำไรในระยะยาว ส่วนปัจจัยระยะสั้น ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น จะเป็นผลบวกต่อราคาหุ้นของ PTTEP (มีความสัมพันธ์กับราคาน้ำมันดิบ 88%) และกำไรของบริษัท (ราว 30% ของปริมาณการขาย มาจากน้ำมันดิบ) เราเลือก PTTEP เป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม (ราคาเป้าหมายปี 57 : 186 บาท ความเสี่ยงด้านอุปทานน้ำมัน โดยเฉพาะความกังวลเรื่องกองทัพสหรัฐฯ ที่อาจเข้าโจมตีประเทศซีเรีย ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน เรามองการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ เป็นผลกระทบทางด้านจิตวิทยา หากประเด็นดังกล่าวไม่ลุกลามจนขยายเป็นสงครามในวงกว้าง ในฐานะผู้ผลิตต้นน้ำ ที่มีปริมาณการขายราว 30% เป็นน้ำมันดิบ เราคาด PTTEP จะได้รับประโยชน์จากโมเมนตัมเชิงบวกจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบ ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบดูไบ อยู่ที่ 111 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล และเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันอยู่ที่ 104.3 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล (ใกล้เคียงประมาณการปี 56 ของเราที่ 104 เหรียญ/บาร์เรล) จากการศึกษาของเรา พบว่าราคาน้ำมันดิบดูไบที่เปลี่ยนแปลงไปทุกๆ 5 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล จะส่งผลต่อกำไรของ PTTEP ราว 3.4-4 พันล้านบาท (ราว 5-6% จากกรณีฐาน) และส่งผลกระทบต่อราคาเป้าหมายปี 57 ราว 11 บาท/หุ้น (ประมาณ 6% จากกรณีฐานที่ 186 บาท) Highlight: 1) ตัวเลขเศรษฐกิจ และ Events สำคัญ : วันนี้ : จับตา USA ISM non-mfg ส.ค. คาด 55 (Vs 56) การจ้างงานภาคเอกชนเดือน ส.ค. คาด +180k (จาก +200k) ผลประชุมธนาคารกลาง ยุโรป อังกฤษ ญี่ปุ่น มาเลเซีย คาดคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับเดิม 0.5% 0.5% 0-0.1% 3% ตามลำดับ วันศุกร์ จับตา USA รายงานจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ส.ค. คาด +180k (จาก +162k) อัตราว่างงานคงที่ 7.4% Germnay : Industrial Production ก.ค. -0.5%m-m sa (จาก +2.4%) +ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดสูงขึ้นจากการโจมตีซีเรียอาจมีผลกระทบจำกัดและยอดขายรถยนต์ วันศุกร์ที่ผ่านมา DJIA ปิดที่ 14,930.87 จุด +96.91 จุด +0.65%d-d S&P 500 ปิดที่ 1653.08 จุด +13.31 จุด +0.81%d-d Nasdaq ปิดที่ 3649.04 จุด +36.43 จุด +1.01%d-d ตลาดหุ้นสหรัฐปิดปรับตัวขึ้นในวันพุธเป็นวันที่สองติดต่อกัน ขณะที่ความเป็นไปได้ในการปฏิบัติการทางทหารในซีเรียเป็นไปอย่างจำกัด และยอดขายรถยนต์ที่แข็งแกร่งของสหรัฐช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนในเศรษฐกิจสหรัฐ +ตลาดหุ้นยุโรป ปรับขึ้นตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ นำโดยกลุ่มโทรคมนาคม วันทำการที่ผ่านมา FTSE ปิดที่ 6474.74 จุด +6.33 จุด +0.10%d-d CAC40 ปิดที่ 3980.42 จุด +6.35 จุด +0.16%d-d DAX ปิดที่ 8195.92 จุด +15.21 จุด +0.19%d-d ได้รับแรงหนุนจากความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นสหรัฐ อย่างไรก็ดี ดัชนีได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มสายการบิน หลังจากไรอันแอร์ซึ่งเป็นสายการบินต้นทุนต่ำออกประกาศเตือนเรื่องผลกำไร
Posted on: Thu, 05 Sep 2013 05:50:59 +0000

Trending Topics



Recently Viewed Topics




© 2015