ลัทธิเสรีนิยม - TopicsExpress



          

ลัทธิเสรีนิยม แนวนโยบายหลักของรัฐแบบเสรีนิยมใหม่ ประกอบด้วยการแปรรูปบริการของรัฐเป็นเอกชน( Privatisation) การเปิดเสรีทางการค้าและการเงิน (Trade and Financial liberalization) และการผ่อนคลายและลดกฎระเบียบ (Deregulation) เพราะหลักการของเสรีนิยมใหม่ ตั้งอยู่บนฐานความเชื่อว่า เงื่อนไขที่จำเป็นของการอยู่ดีมีสุขของมนุษย์นั้น คือ เสรีภาพของปัจเจกบุคคล (ในการประกอบการ) ดังนั้น โครงสร้างเชิงสถาบัน ที่เอื้อต่อการพัฒนาเศรษฐกิจตามแนวทางเสรีนิยมใหม่คือ การคุ้มครองกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลอย่างเข้มงวดและระบบตลาดแข่งขันเสรี ลัทธิเสรีนิยมใหม่ปรากฏโฉมหน้าให้เห็นอย่างชัดเจนในทศวรรษ 1970 ภายหลังผู้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจ ในประเทศนำทางอุตสาหกรรมอย่างสหรัฐฯและอังกฤษ เสื่อมความเชื่อมั่นในลัทธิเศรษฐกิจการเมืองแบบเคนส์เซียน (Keynesianism) ที่ไม่สามารถควบคุมและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ที่มีปัญหาการว่างงานควบคู่กับภาวะเงินเฟ้อสูง (stagflation) ได้ ในเดือนพฤษภาคม ปี 1979 มากาเรต แทตเชอร์ (Margaret Thatcher) ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของอังกฤษ พร้อมด้วยภารกิจในการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ ด้วยอิทธิพลของเสรีนิยมใหม่ เธอยอมรับว่า จำเป็นจะต้องละทิ้งนโยบายแบบเคนส์เซียนและหันมาใช้วิธีการบริหารตามแนวทฤษฎีสำนักการเงินนิยม (monetarism) หรือแบบเน้นอุปทาน (supply-side) เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่อังกฤษประสบอยู่ในช่วงทศวรรษ 1970 กระบวนการทำให้เป็นเสรีนิยมใหม่ (neoliberalisation) หยิบฉวยเอาทุนทางวัฒนธรรมแบบเสรีนิยมที่ฝังราก (Embedded liberalism) อย่างมั่นคงในสังคมตะวันตก โดยผู้นำกระบวนการนี้ ได้เน้นนำคุณค่าที่เป็นเสาหลักของแนวคิดเสรีนิยมคือ “อิสรภาพและเสรีภาพส่วนบุคคล” รวมทั้งรังสรรค์ปั้นแต่งใหม่ ด้วยกลวิธีตอกย้ำ (ละเลย) คุณค่าที่พึงปรารถนา (ไม่พึงปรารถนา) ในสายตาของตน เพื่อออกแบบ ผลิต และผลิตซ้ำคุณค่าเหล่านั้น ให้เข้าแทนที่คุณค่าเดิมและผสมกลมกลืนกับคุณค่าอื่นอย่างแนบเนียนจนกลายเป็น “สามัญสำนึก” ของสมาชิกแต่ละคนในสังคม ดังคำกล่าวที่โด่งดังของแทตเชอร์ประโยคหนึ่งว่า no such thing as society, only individual men and women ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการประกาศสงคราม ต่ออุดมคติแบบสังคมนิยม (หรือคุณค่าที่เสนอโดยพรรคแรงงาน พรรคการเมืองคู่แข่งฝ่ายซ้าย) ด้วยการตอกย้ำอุดมคติแบบปัจเจกนิยม (individualism) ครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 11 ปี ที่เธอดำรงตำแหน่งนายกฯ ถึงความเป็นสากลแท้จริงและอยู่เหนือสังคมของสิทธิและความรับผิดชอบของปัจเจกชน ผลที่เกิดขึ้นก็คือ เธอประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ในการเปลี่ยนโฉมหน้าของเศรษฐกิจและสังคม อังกฤษและสามารถทำลายพื้นที่ในสังคม ของขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองของชนชั้นแรงงานอย่างราบคาบ บทความนี้ ต้องการเสนอข้อมูลเกี่ยวกับวิวัฒนาการของลัทธิ (Doctrine)เสรีนิยมใหม่ ในเชิงปรัชญาและเชิงประวัติศาสตร์การเมือง เพื่อให้ผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจกับลัทธิเสรีนิยมใหม่ ที่มีอิทธิพลครอบงำความคิดกระแสหลักในสังคมไทยและสังคมโลกาภิวัตน์อย่างรู้เท่าทัน โดยในส่วนแรก ของบทความ จะกล่าวถึงต้นตอของลัทธิเสรีนิยมในคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยแนะนำนักคิดที่มีบทบาทสำคัญในสำนักเสรีนิยมคลาสสิค ซึ่งทำให้เสรีภาพของปัจเจกชนกลายเป็นคุณค่าและเป้าหมายที่สำคัญในการดำเนินชีวิตในสังคมปัจจุบัน ส่วนที่สอง จะกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงแนวคิดของสำนักเสรีนิยมจากภายใน โดยรับเอาหลักการประโยชน์นิยมเข้าแทนที่หลักสิทธิธรรมชาติ อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแนวคิดของบุคคลต่ออำนาจรัฐ ประโยชน์ของบุคคลและประโยชน์สาธารณะ ส่วนที่สาม จะกล่าวถึงวิวัฒนาการลำดับต่อมาคือ สำนักเสรีนิยมนีโอคลาสสิคและเสรีนิยมใหม่ ที่ได้รับอิทธิพลจากเสรีนิยมในอดีต ในส่วนนี้จะแสดงให้เห็นว่านักคิดเสรีนิยมใหม่นั้น สามารถสถาปนาแนวคิดของตนในบริบทของสังคมขณะนั้นอย่างไร ด้วยปัจจัยสนับสนุนใดบ้าง และในส่วนถัดไป จะกล่าวถึงลักษณะสำคัญของรัฐเสรีนิยมใหม่ ทั้งที่เป็นผู้ผลิตและส่งออกและผู้นำเข้าแนวคิดนี้ รวมทั้งตัวอย่างของประเทศไทย ก่อนที่จะสรุปในส่วนสุดท้าย 1. เสรีนิยมคลาสสิค: เสรีภาพและอิสรภาพคือเป้าหมายสูงสุด * หากจะทำความเข้าใจกับลัทธิเสรีนิยมใหม่อย่างถ่องแท้ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องศึกษา ที่มาและรากเหง้าของอุดมคติแบบเสรีนิยม ที่มีรากฐานของความคิดมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 18 หรือกลุ่มที่เราเรียกว่า “พวกเสรีนิยมคลาสสิค” นั่นเอง เนื่องจากสังคมในยุคกลางนั้น ถูกครอบงำโดยการปกครองแบบศักดินา ที่อ้างอิงกับทฤษฎีเทวสิทธิ์ ต่อมาก็เปลี่ยนมือไปยังกษัตริย์และขุนนางในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ซึ่งเสรีภาพทางการเมืองของประชาชนถูกจำกัด สำนักเสรีนิยมคลาสสิคจึงเกิดขึ้น เพื่อปฏิเสธการจำกัดเสรีภาพและเรียกร้องสิทธิและความรับผิดชอบของปัจเจกชน ในทางเศรษฐกิจ ลัทธิพาณิชย์นิยม ที่เน้นการผลิตเพื่อส่งออกขาย (ให้กับอาณานิคม) เพื่อสะสมความมั่งคั่งในรูปของทองนั้น สร้างความร่ำรวยให้กับท้องพระคลังเท่านั้น ไม่ได้แบ่งปันและกระจายความมั่งคั่งไปสู่สามัญชน จึงเกิดการปฏิวัติทางความคิดโดยนักคิดคนสำคัญ จอห์น ลอค (John Locke, 1632-1704) ชาวอังกฤษ ซึ่งเขียนหนังสือที่สำคัญ Two Treaties of Goverment (1690) และ An Essay Concerning the True Original, Extent, and End of Civil Government (1690) ที่เสนอให้จัดตั้งรัฐบาล(Goverment )โดยความยินยอมของประชาชน ท่ามกลางการปกครองภายใต้อำนาจของกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช ลอคเน้นถึงอิสรภาพและเสรีภาพ ในฐานะสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ ซึ่งเกิดจากการใช้เหตุผล หมายความว่า มนุษย์เกิดมาเป็นอิสระเพราะมนุษย์มีเหตุผลนั่นเอง เหตุผลคือเสียงของพระเจ้าในตัวมนุษย์ (Two Treaties of Goverment เล่ม 2 หน้า 86 อ้างใน ฉัตรทิพย์ นาถสุภา ๒๕๕๐) ดังนั้น มนุษย์จึงสามารถกระทำสิ่งที่ถูกต้องได้ด้วยตนเอง หรืออีกนัยหนึ่งคือ ด้วยการนำทางของพระเจ้า โดยไม่ต้องถูกชี้นำหรือบังคับควบคุมจากผู้ปกครอง นอกจากนี้ มนุษย์ทุกคนยังเท่าเทียมกันและเป็นอิสระต่อกัน ลอคได้เสนอว่า ก่อนหน้าที่จะมีรัฐเกิดขึ้น มนุษย์อยู่ในสภาพธรรมชาติ ซึ่งปกครองด้วยกฎของเหตุผล (ต่างจากโทมัส ฮอบ ซึ่งเป็นนักคิดลัทธิสมบูรณาญาสิทธิ์ ที่เสนอว่าก่อนหน้าที่จะเกิดรัฐนั้น สังคมมีลักษณะของการต่อสู้ แก่งแย่งและความวุ่นวาย จึงจำเป็นต้องมีรัฐที่เข้มแข็ง) ตามทฤษฎีของลอค ในสภาพธรรมชาติ มนุษย์มีสิทธิพื้นฐานในการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน เพราะมนุษย์เป็นเจ้าของแรงงานของตนเอง สิทธิที่เรารู้จักในภายหลังว่า “กรรมสิทธิ์” นี้ ในมุมมองของลอค จึงไม่ได้เกิดจากรัฐ (ซึ่งถือว่ามีลักษณะปฏิกิริยากับระบอบศักดินา ซึ่งขุนนางและชนชั้นสูงเท่านั้น สามารถเป็นเจ้าของทรัพย์สิน) เหตุผลของเขา เรื่องกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลนี้เอง ถูกเป็นหลักการสำคัญ ที่ถูกนำมาปรับปรุงและพัฒนาในภายหลัง ทั้งนี้ เขายังได้กล่าวด้วยว่า กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน จะต้องไม่นำไปสู่การกดขี่หรือขูดรีด แต่ต้องช่วยสนับสนุนให้มนุษย์มีอิสระ กรรมสิทธิ์จึงเป็นเครื่องมือไปสู่เสรีภาพ อย่างไรก็ตาม ตามคำอธิบายของลอค มนุษย์จำเป็นต้องละทิ้งสภาพธรรมชาติ เพื่อเปิดทางให้เกิดสังคมการเมืองและรัฐ เพราะสังคมอาจเกิดความขัดแย้ง เนื่องจากมนุษย์แต่ละคนถือเอาประโยชน์ส่วนตัวและไม่สามารถไกล่เกลี่ยกันได้ จึงจำเป็นต้องมีรัฐ ซึ่งเป็นคนกลางเพื่อบังคับใช้กฎหมายและสร้างความยุติธรรม รวมทั้งคุ้มครองกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล สังคมการเมืองของลอคจึงเกิดขึ้นจากความยินยอมของสมาชิกในสังคม หรือในภาษาของรุซโซว่า “สัญญาประชาคม” นั่นเอง ทั้งนี้ เขาอธิบายว่า ประชาชนไม่ได้ทำสัญญากับรัฐบาลโดยตรง แต่ทำสัญญาระหว่างกันเพื่อให้เกิดสังคมการเมือง แต่รัฐเกิดจากการจัดตั้งทรัสต์ ซึ่งประชาชนเป็นทั้งผู้มอบความไว้วางใจและผู้ ได้ประโยชน์ ส่วนรัฐเป็นเพียงผู้จัดการบริหารทรัสต์นี้เท่านั้น ประโยชน์สาธารณะในทรรศนะของลอค จึงขึ้นอยู่กับประชาชนผู้มอบความไว้วางใจให้รัฐ ไม่ได้ขึ้นกับการตัดสินใจของรัฐ และประชาชนสามารถทวงความไว้วางใจคืนเมื่อใดก็ตาม ที่รัฐละเมิดความไว้วางใจนั้น นักคิดคนสำคัญอีกคนคืออดัม สมิท (Adam Smith, 1723-1790) ชาวสก๊อตแลนด์ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกฟอร์ด (เช่นเดียวกับลอค) ต่อมาเป็นศาสตราจารย์สอนวิชาปรัชญาศีลธรรมที่มหาวิทยาลัยกลาสโกว์ มีหนังสือที่สำคัญ 2 เล่ม คือ Theory of Moral Sentiments (1759) และ The Wealth of Nations (1776) สมิทได้รับอิทธิพลความคิดจากนักคิดรุ่นก่อนและนักคิดร่วมสมัย อย่างเช่น ไอแซค นิวตัน (Sir Isaac Newton, 1642-1727) ในเรื่องความมีกฎเกณฑ์และระเบียบของธรรมชาติ, ได้รับอิทธิพลจากเอิร์ลแห่งชาฟเบอรี (Earl of Shaftesbury, 1671-1713) ที่เชื่อว่ามนุษย์มีศีลธรรม สามารถแยกแยะการกระทำที่ถูกและผิดออกจากกันได้ สังคมจึงมีระเบียบและกฏเกณฑ์เช่นเดียวกับโลกกายภาพ รวมทั้งผลประโยชน์ของทุกฝ่ายในสังคมนั้นประสานลงตัวกันได้ (harmony of interest) และจากฟรานซิส ฮัดจีสัน (Francis Hatcheson, 1694-1746) ในเรื่องที่มนุษย์ต้องการทำคุณประโยชน์มากกว่าทำชั่ว เมื่อมนุษย์ทำสิ่งที่ดีมีประโยชน์จะมีความสุข (เขาเป็นผู้เสนอหลักการสำคัญที่ต่อมาพัฒนาเป็นสำนักประโยชน์นิยม) จึงเป็นไปได้ที่จะมีการประสานผลประโยชน์ในสังคม สมิทยังได้รับอิทธิพลทางความคิดจากปูเฟนดอร์ฟ (Samuel von Pufendolf, 1632-1694) และจอห์น ลอคในเรื่องสิทธิธรรมชาติของมนุษย์และสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ซึ่งสมิทเองเป็นผู้ขยายขอบเขตเรื่องสิทธิเสรีภาพในทางการเมืองของลอคไปสู่เสรีภาพทางเศรษฐกิจ แนวคิดเรื่องระเบียบของสังคมและการผสานผลประโยชน์ในสังคม ที่สมิทได้รับอิทธิพลมาจากนักคิดเหล่านี้ ทำให้เขาเชื่อว่า ความเห็นแก่ตัวหรือการที่แต่ละคนต่างมุ่งหาประโยชน์ส่วนตัว จะทำให้สังคมได้ประโยชน์สูงสุดตามไปด้วย จากสิ่งที่เขาเรียกว่า “มือที่มองไม่เห็น” (ที่ภายหลังสำนักนีโอคลาสสิคทำให้กลายเป็นเพียง “กลไกตลาด” หรือกลไกของอุปสงค์และอุปทานนั่นเอง) สมิทกล่าวว่า การที่เราได้มีอาหารเย็นทาน ไม่ใช่เพราะความใจดีของพ่อค้าเนื้อหรือพ่อค้าขนมปัง แต่เพราะความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวของคนเหล่านี้ เราไม่ได้ขอร้องให้เขาเห็นแก่มนุษยธรรม แต่ให้เห็นแก่ตัวเขาเอง (The Wealth of Nations, เล่ม 1, บทที่ 2 อ้างในฉัตรทิพย์ นาถสุภา ๒๕๕๐) ตามทฤษฎีของสมิท ภายใต้เงื่อนไขของความมีอิสระและเสรีภาพ ในการตัดสินใจของปัจเจกบุคคล(หรือการแข่งขันเสรีในตลาด) และปราศจากการบังคับหรือวางแผนจากส่วนกลาง สัญชาติญาณความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ทำให้เกิดการผลิตและการแลกเปลี่ยน และทำให้สังคมได้รับประโยชน์โดยผ่านการออมทรัพย์ การแบ่งงานกันทำและการเพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิต นี่เป็นรากฐานของความคิดเสรีนิยม ที่เน้นเสรีภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองของมนุษย์ บทบาทของรัฐบาลในทรรศนะของสมิท จึงควรถูกจำกัดเพียงเฉพาะในการป้องกันประเทศ คุ้มครองสมาชิกสังคมจากความอยุติธรรม บริการสาธารณะและการกุศล เช่นการศึกษา สาธารณสุข ฯลฯ อาจกล่าวได้ว่า ทฤษฏีเศรษฐศาสตร์ของสมิทนั้น ตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่เข้มงวด เรื่องการแข่งขันเสรี คือ ระบบเศรษฐกิจไม่มีการผูกขาดหรือไม่มีการกระจุกตัวของทุน หรือการได้เปรียบของธุรกิจบางรายซึ่งไม่เป็นจริงในทางปฏิบัติ นักคิดสำนักคลาสสิคคนอื่นๆ ต่อมา อย่างโรเบิร์ต มัลธัสและเดวิด ริคาร์โด (ที่ถึงแม้จะยอมรับว่า ระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมภายใต้เงื่อนไขของการแข่งขันเสรี ที่สมิทได้เสนอนั้นเป็นระบบเศรษฐกิจที่ดีที่สุด) กลับมองโลกในแง่ร้ายกว่าสมิทมาก และได้แสดงความวิตกกังวลต่อ ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมของสมิท อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีของสำนักคลาสสิค ได้มีอิทธิพลครอบงำระบบเศรษฐกิจการเมืองของประเทศยุโรป ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 อย่างสูง เพราะสังคมในขณะนั้น โหยหาอิสรภาพและเสรีภาพที่เคยถูกลิดรอนมายาวนาน รัฐบาลปล่อยให้ตลาดทำงานอย่างเสรีโดยไม่มีการแทรกแซง จนกระทั่งการขยายตัวของการค้าและปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษและฝรั่งเศสนั้น นำไปสู่ภาวะทุกข์ยากอย่างรุนแรงของแรงงานอุตสาหกรรม มีการใช้แรงงานในระยะเวลาการทำงานที่ยาวนาน ในภาวะเสี่ยงอันตราย ขณะที่ค่าจ้างแรงงานถูกกดต่ำ และกรรมกรมีชีวิตที่ลำบากและตกอยู่ในสภาวะยากจน จึงเริ่มเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ทฤษฎีเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมของสำนักคลาสสิคและเสนอทฤษฎีแบบที่เรียกว่าสังคมนิยมยูโธเปีย ซึ่งเรียกร้องความเป็นธรรมทางสังคม ให้กับชนชั้นกรรมกรและต่อต้านระบบวิสาหกิจเอกชน อย่างไรก็ตาม สำนักสังคมนิยมยูโธเปียนั้น ไม่ได้วิพากษ์ชนชั้นนายทุนอย่างรุนแรง และไม่ได้เรียกร้องให้มีการปฏิวัติทางชนชั้น อย่างที่สังคมนิยมมาร์กซิสม์เสนอ หากแต่เป็นเพียงการกระตุ้นเตือนทางจริยธรรม ให้เกิดการแก้ไขข้อบกพร่องของระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม และด้วยข้อเสนอเกี่ยวกับแนวทางการปฏิบัติ ที่ค่อนข้างเป็นอุดมคติและอิงกับศีลธรรมที่เกิดขึ้นได้ยาก (ต่างจากสังคมนิยมมาร์กซิสม์ ที่เรียกร้องให้ใช้การเผชิญหน้าและการต่อสู้ที่เกิดขึ้นได้เร็วและเด็ดขาดกว่า) แนวคิดนี้จึงเสื่อมความนิยมลงไปในเวลาไม่นาน * เนื้อหาของบทความในส่วนนี้และส่วนถัดไป สรุปความจากบทที่ 3 และ 5 ของฉัตรทิพย์ นาถสุภา, ลัทธิเศรษฐกิจการเมือง, สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงการณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๐ (พิมพ์ครั้งที่ ๗) 2. เสรีนิยมสำนักประโยชน์นิยม : ทางเลือกระหว่างความสุขของสังคมและปัจเจกชน สำนักความคิดเสรีนิยมได้นำเอาความคิดประโยชน์นิยม (Utilitarianism) เข้าแทนที่หลักสิทธิธรรมชาติในเวลาต่อมา โดยอธิบายใหม่ว่า เสรีภาพส่วนบุคคลนั้นเป็นอุดมคติ เพราะสามารถนำไปสู่ความสุขสูงสุดของมนุษย์ เสรีภาพจึงเป็นเพียงเครื่องมือไปสู่เป้าหมายสุดท้ายคือ ความสุข แทนที่เสรีภาพจะเป็นจุดหมายปลายทางหรือเป็นอุดมคติในตัวของมันเอง อย่างที่จอห์น ลอคเสนอ แนวความคิดประโยชน์นิยมนี้ ได้รับการเผยแพร่ในวงกว้างโดยเจเรมี เบนแทม (Jeremy Bentham, 1748-1832) และมีส่วนสำคัญต่อการเกิดทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แบบนีโอคลาสสิคที่เน้นเรื่อง ประโยชน์หน่วยสุดท้ายซึ่งให้ความสำคัญกับมูลค่าสินค้า (หรือประโยชน์จากการบริโภคสินค้า ซึ่งให้น้ำหนักกับการบริโภคและผู้บริโภค) มากกว่ามูลค่าของการผลิต (ซึ่งให้น้ำหนักกับการผลิต รวมทั้งเจ้าของปัจจัยการผลิต) เบนแทมเกิดในตระกูลมั่งคั่ง บิดาเป็นนักกฎหมายที่มีชื่อเสียง เขาเองจบการศึกษาด้านกฎหมาย แต่ใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิต ในฐานะนักเขียนและเผยแพร่แนวความคิดประโยชน์นิยม ความคิดของเขามีอิทธิพลต่อสาขากฎหมาย การเมืองและเศรษฐศาสตร์อย่างมาก หนังสือที่มีชื่อเสียงของเขาคือ Fragment on Government (1766) และ An Introduction to the Pinciples of Morals and Legislation (1789) ในหนังสือเล่มหลังนี้ เขากล่าวว่า “ธรรมชาติได้ทำให้มนุษยชาติ อยู่ภายใต้การควบคุมของนายเหนือหัวสองคน คือความเจ็บปวดและความพอใจ นายสองคนนี้เท่านั้น ที่จะกำหนดว่าเราควรทำอะไร เช่นเดียวกับที่กำหนดว่าเราจะทำอะไร” สำหรับเบนแทม มนุษย์ใช้เหตุผลเพื่อแสวงหาความพึงพอใจและหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด (ทั้งทางกายภาพและทางจิตใจ) สองสิ่งนี้จึงเป็นสิ่งขับเคลื่อนสังคมในทรรศนะของเขา (ในลักษณะเดียวกับที่สมิทเชื่อว่า ความเห็นแก่ตัวหรือประโยชน์ส่วนตัวคือสิ่งขับเคลื่อนสังคม) เบนแทมเรียกหลักจริยธรรมของเขาว่า หลักแห่งประโยชน์ (Principle of Utility) ซึ่งประเมินการกระทำใดๆ ด้วยผล ที่เกิดขึ้นต่อผู้ที่เกี่ยวข้องนั่นคือ ก่อให้เกิดประโยชน์หรือความสุขที่สูงขึ้นหรือลดลง โดยสามารถปรับใช้ได้ทั้งกับปัจเจกชนและสังคม ในกรณีของสังคม ทำให้เกิดวลีที่โด่งดังว่า การกระทำที่ดีที่สุดคือ การกระทำที่ก่อให้เกิด “ความสุขมากที่สุดของคนจำนวนมากที่สุด (the greatest happiness of the great number)” ทั้งนี้ เขาให้น้ำหนักกับสังคมมากกว่าปัจเจกชน เมื่อมีความขัดแย้งของหลักจริยธรรมระหว่างปัจเจกและสังคม ต้องถือหลักจริยธรรมของสังคมก่อน เขาไม่เชื่อเรื่อง การผสานผลประโยชน์ลงตัวอย่างสมบูรณ์เหมือนสมิท แต่เชื่อว่าวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและเหตุผลของมนุษย์ สามารถจัดการให้เกิดการผสานผลประโยชน์ในส่วนที่มีความขัดแย้งได้ เขาเสนอว่า ควรใช้ระบบการศึกษาเพื่อพัฒนาปัจเจก และปรับปรุงระบบการเมืองและกฎหมายสำหรับสังคม อย่างไรก็ตาม เสรีภาพของปัจเจกชนยังคงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะปัจเจกชนจะแสวงหาความพอใจได้เต็มที่เมื่อมีเสรีภาพ และที่สำคัญ ไม่มีใครรู้ดีกว่าแต่ละบุคคลเองว่า อะไรจะนำมาซึ่งความพอใจสูงสุด แต่เมื่อใดที่เสรีภาพไปกระทบกับความพอใจของผู้อื่น เมื่อนั้นก็จะต้องออกกฎหมายเพื่อควบคุม ในเรื่องกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล เบนแทมอ้างหลักแห่งประโยชน์ว่า กรรมสิทธิ์จะสร้างแรงจูงใจในการทำงานให้กับบุคคล เพราะบุคคลจะได้รับผลของความพยายามของเขาเอง ทำให้ขยันทำงานและผลผลิตของสังคมก็จะเพิ่มขึ้น รัฐจึงควรคุ้มครองกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล และส่งเสริมให้ปัจเจกชนมีสิทธิประกอบกิจการตามต้องการ โดยใช้กฎหมายเพื่อให้รางวัลและกำหนดบทลงโทษ เพื่อผสานประโยชน์ของส่วนรวม ส่วนระบบเศรษฐกิจที่ดีที่สุดสำหรับเบนแทมนั้นคือ ระบบการแข่งขันเสรีในตลาดที่ให้รางวัลกับผู้ผลิตที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่สังคม คือ ใช้ทรัพยากรต่ำสุดเพื่อให้เกิดผลตอบแทนสูงสุด หรืออีกนัยหนึ่ง กำไรสูงสุดเป็นตัวชี้วัดและรางวัลสำหรับปัจเจกชนผู้ประกอบกิจการ ที่สามารถผลิตสินค้าที่สังคมต้องการสูงสุดด้วยวิธีที่ประหยัดที่สุด (หรือต้นทุนต่ำสุดนั่นเอง) ลัทธิเสรีนิยมตามแบบประโยชน์นิยมนี้ มีลักษณะของประสบการณ์นิยม (Empiricism)แฝงอยู่มาก และต่างจากเสรีนิยมตามแบบสิทธิธรรมชาติ ที่อ้างอิงกับเหตุผลนิยมเพียงอย่างเดียว ในเสรีนิยมแบบประโยชน์นิยม รัฐสามารถมีบทบาทมากขึ้น ไม่ถึงกับถูกจำกัดให้ทำเฉพาะเรื่องความมั่นคงและบริการสาธารณะ รัฐสามารถใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครองสิ่งที่เห็นว่า (หรืออ้างว่า) เป็นประโยชน์สาธารณะได้ อย่างไรก็ตาม มีการวิจารณ์ว่านักประโยชน์นิยม มักไม่คำนึงถึงหลักการหรือวิธีการ เท่ากับผลลัพธ์ของการกระทำ เนื่องจากเห็นผลลัพธ์คือ ประโยชน์และความพอใจเป็นเป้าหมายสำคัญสุด ลัทธิเสรีนิยมตามแบบของเบนแทมนี้เอง มีอิทธิพลอย่างมากในเศรษฐกิจการเมืองของอังกฤษในศตวรรษที่ 19 และมีอิทธิพลต่อแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะทฤษฏีประโยชน์หน่วยสุดท้ายของสำนักออสเตรียและนีโอคลาสสิค นักปรัชญาสำนักประโยชน์นิยมอีกคนที่มีชื่อเสียงมากคือ จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill, 1806-1873) ซึ่งบิดาของเขา เจมส์ มิลล์ (James Mill, 1773-1836) เพื่อนสนิทของเจเรมี เบนแทม ตัวของมิลล์เองจึงสนิทสนมกับครอบครัวของเจเรมี เบนแทม งานเขียนที่สำคัญของมิลล์คือ System of Logic (1834) และ Principles of Political Economy (1848) ซึ่งถูกใช้เป็นตำราเศรษฐศาสตร์ในอังกฤษและอเมริกาเป็นเวลานาน(ก่อนที่ Alfred Marshall จะเขียนหนังสือที่ถูกใช้เป็นตำราของสำนักนีโอคลาสสิค) หนังสือที่สำคัญที่สุดของมิลล์คือ On Liberty (1859) ซึ่งกลายเป็นข้อเขียน ที่สนับสนุนเสรีนิยมของปัจเจกชนที่มีอิทธิพลและถูกใช้อ้างอิงมากที่สุดเล่มหนึ่ง มิลล์เองพยากรณ์ว่า หนังสือของเขาเล่มนี้จะมีความสำคัญในอนาคตอย่างมาก เพราะสังคมอุตสาหกรรมจะคุกคามเสรีภาพของปัจเจกชนมากขึ้นในอนาคต มิลล์ ได้ก่อให้เกิดคุณูปการสำคัญ 2 ประการคือ ประการแรก มิลล์ได้แก้ไขปรับปรุงหลักการประโยชน์นิยมไม่น้อย เขาพยายามเพิ่มเติมว่า ประโยชน์หรือความพอใจบางอย่าง เช่นความพอใจทางปัญญาหรือจิตวิญญาณนั้น มีคุณค่ามากกว่าความพอใจทางกาย เขายังเสนอว่า ความพอใจสูงสุดคือ เกียรติ์และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และการให้เสรีภาพคือวิธีการส่งเสริม เกียรติ์และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ด้วย ตามทรรศนะของมิลล์นั้น เสรีภาพจึงเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญและเป็นเป้าหมายของสังคมในตัวเอง ซึ่งต่างจากทรรศนะของเบนแทม ที่เห็นว่าเสรีภาพเป็นเพียงวิธีการไปสู่เป้าหมายคือ ความสุข ประการที่สอง มิลล์เป็นนักคิดที่ให้ความสำคัญกับเสรีภาพอย่างเต็มที่ เขากล่าวว่าสิ่งที่เป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของเสรีภาพ ไม่ใช่รัฐบาล แต่เป็น “สังคมทรราช” เพราะต่อสู้ด้วยลำบากที่สุด วลีที่สำคัญของเขาคือ “ถ้ามนุษย์ทุกคน ยกเว้นเพียงคนเดียวมีความเห็นอย่างหนึ่ง และคนคนเดียวนั้นมีความเห็นตรงกันข้าม มนุษยชาติ ก็ไม่มีความชอบธรรมที่จะทำให้บุคคลคนเดียวนั้นเงียบเสียงมากไปกว่าบุคคลนั้น ถ้าเขามีอำนาจมีความชอบธรรมที่จะทำให้มนุษยชาติเงียบเสียง” (On Liberty, บทที่ I, Introductory อ้างใน ฉัตรทิพย์ นาถสุภา ๒๕๕๐) เขาสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยให้เหตุผลว่าจะทำให้มนุษย์เข้าใกล้ความจริงมากขึ้น เขายังกล่าวอีกว่า การจำกัดสิทธิและเสรีภาพโดยการใช้อำนาจนั้น สามารถทำได้ก็ต่อเมื่อสิทธิและเสรีภาพนั้น ไปกระทบหรือเป็นอันตรายต่อผู้อื่น การจำกัดเสรีภาพโดยอ้างประโยชน์ของตัวผู้ถูกจำกัดเสรีภาพเอง จึงไม่สามารถทำได้ เพราะโดยธรรมชาติแล้ว เป็นเรื่องยากที่บุคคลจะให้คุณค่ากับประโยชน์ของบุคคลอื่น มากเท่ากับตัวบุคคลนั้นเอง จึงเป็นหน้าที่ที่ตัวบุคคลนั้น จะตัดสินใจและไม่ควรให้บุคคลอื่นหรือสังคมตัดสินใจแทน ถึงแม้มิลล์จะเป็นผู้สนับสนุนเสรีภาพของปัจเจกชนแบบสุดขั้ว ข้อเสนอของมิลล์เองก็มีความเป็นสังคมนิยมผสมผสานอยู่ไม่น้อย กล่าวคือ ถึงแม้เขาจะสนับสนุนให้ตลาดทำงานเสรี โดยปราศจากการแทรกแซง แต่นั่นหมายถึงเสรีภาพในด้านการผลิต มิลล์มองว่าเรื่องของการจัดสรรรายได้ เป็นคนละเรื่องกับการผลิต เพราะการจัดสรรรายได้ขึ้นอยู่กับสถาบันทางสังคม นอกจากนี้ เขายังเคยกล่าวเปรียบเทียบในทำนองว่า ถ้าหากระบบเศรษฐกิจเสรีนิยม ทำให้เกิดการกดขี่ขูดรีดแรงงานอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนั้น โดยไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แล้ว ระบบคอมมิวนิสต์ที่ถึงแม้จะด้อยกว่า ก็ยังดูเหมือนจะก่อให้เกิดปัญหาน้อยกว่ามาก เขาเองยังเสนอให้ปรับปรุงระบบวิสาหกิจเอกชนและกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล โดยสนับสนุนให้เก็บภาษีที่ดิน ภาษีมรดก (เขาเห็นว่าสิทธิที่จะมอบมรดกนั้น เป็นสิทธิที่ควรได้รับความเคารพ เพราะเป็นเจตจำนงของปัจเจกชน แต่การรับมรดกโดยไม่มีข้อจำกัด เป็นอันตรายต่อเสรีภาพของปัจเจกเพราะ ทรัพย์สินไปสะสมอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง) และให้ยกเลิกระบบค่าจ้างและการจ้างงานในระยะยาว โดยหันมาใช้ระบบสหกรณ์แทน (ซึ่งเป็นอิทธิพลของสังคมนิยมยูโธเปียและนักคิดฝรั่งเศสอย่างแซงต์ ซีมง) 3. สำนักเสรีนิยมใหม่กับบริบทการเมืองช่วงปลายศตวรรษที่ 20 นักคิดที่ถือเป็นหัวหอกสำคัญของสำนักเสรีนิยมใหม่ คือ นักปรัชญาสำนักออสเตรียอย่าง ฟริดริช ฟอน ฮาเย็ค (Friedrich von Hayek, 1899-1992), ลุดวิก ฟอน มิสเซส (Ludwig von Mises, 1881-1973), คาร์ล ปอปเปอร์ (Karl Popper, 1902-1994) และนักเศรษฐศาสตร์ผู้ก่อตั้งสำนักการเงินนิยมของมหาวิทยาลัยชิคาโก มิลตัน ฟริดแมน (Milton Friedman, 1912-2006) ทั้งหมดเป็นสมาชิกของสมาคมที่เรียกตัวเองว่า Mont Pelerin Society ซึ่งตั้งชื่อตามสถานที่ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ที่บุคคลเหล่านี้นัดพบกันและจัดตั้งสมาคมขึ้นอย่างเป็นทางการ นักคิดเหล่านี้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั่วโลก ในฐานะนักวิชาการที่สนับสนุนคุณค่าของเสรีภาพ ในการแสดงออกทางความคิดและความเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฮาเย็คและฟริดแมนนั้น นอกจากได้รับการยอมรับในฐานะนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ที่สนับสนุนคุณค่าของระบบทุนนิยมและเสรีภาพของการประกอบธุรกิจ ตามแนวทางเศรษฐศาสตร์แบบนีโอคลาสสิคแล้ว ทั้งคู่ยังได้รับการยอมรับในฐานะนักปรัชญาการเมือง ที่มีงานเขียนสำคัญมากมายเกี่ยวกับปัจเจกชนนิยม เสรีภาพและการต่อต้านระบอบเผด็จการ ซึ่งมีอิทธิพลต่อสังคมอเมริกาในวงกว้างอย่างมาก ในอีกมุมหนึ่ง ฮาเย็คและฟริดแมน เป็นที่รู้จักในฐานะผู้เสนอทฤษฎี ที่ปฏิเสธแนวความคิดของมาร์กซ์และเคนส์ ซึ่งรายหลังมีอิทธิพลและบทบาทอย่างมากหลังเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในปี 1930 กล่าวคือ เคนส์เป็นผู้เสนอให้รัฐเพิ่มบทบาทในด้านเศรษฐกิจ โดยเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐ เพื่อกระตุ้นด้านอุปสงค์หรือความต้องการบริโภคสินค้าของครัวเรือนและสร้างงานให้กับแรงงานที่ประสบกับภาวะว่างงาน ความสำเร็จส่วนหนึ่งของนักคิดเสรีนิยมใหม่กลุ่มนี้ มาจากการช่วยเหลือทางด้านการเงินและทางการเมืองจากกลุ่มทุนธุรกิจในสหรัฐฯ ที่ไม่ต้องการการแทรกแซงและการเพิ่มกฎระเบียบในด้านเศรษฐกิจจากรัฐ ทั้งนี้ ลัทธิเสรีนิยมใหม่เริ่มปรากฏบทบาทในทางการเมืองชัดเจนในสหรัฐฯ และอังกฤษในทศวรรษ 1970 เมื่อชื่อเสียงและอิทธิพลของนักคิดกลุ่ม Mont Pelerin Society แพร่กระจายไปมากในวงวิชาการ โดยผ่านทางสถาบันวิจัยทางด้านเศรษฐกิจหรือสถาบันผลิตนักคิด อย่างเช่น Institute of Economic Affairs ในลอนดอน และ the Heritage Foundation ในวอชิงตัน ยิ่งเมื่อภายหลังฮาเย็คและฟริดแมนได้รับรางวัลโนเบลสาขา เศรษฐศาสตร์ในปี 1974 และ 1976 ตามลำดับด้วยแล้ว (ถึงแม้จะเป็นที่วิจารณ์ว่ารางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์นั้น มีที่มาและระบบการคัดเลือก ที่แยกออกเป็นเอกเทศและไม่เกี่ยวข้องกับโนเบลของสาขาอื่น รวมทั้งยังถูกครอบงำและกำหนดทิศทาง จากกลุ่มชนชั้นนำนายธนาคารของสวีเดน) เป็นที่ยอมรับว่าลัทธิเสรีนิยมใหม่นั้น สามารถยึดครองพื้นที่สำคัญในทางการเมืองได้อย่างเป็นทางการในช่วงปี 1979 [2] ปัจจัยที่เอื้อให้อุดมการณ์แบบเสรีนิยมใหม่ ได้รับการยอมรับในสังคมขณะนั้น คือ บรรยากาศทางการเมืองเพื่อเรียกร้องเสรีภาพและความเป็นธรรมทางสังคม ซึ่งกำลังเบ่งบานสุดขีดในช่วงทศวรรษ 1970 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อเรียกร้องเสรีภาพของปัจเจกชน ที่นำโดยนักศึกษา ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลกในปี 1968 (3 ปีให้หลัง ขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านเผด็จการทหาร ที่นำโดยของนิสิตนักศึกษา ในประเทศไทยได้รับชัยชนะ ในการเรียกร้องประชาธิปไตยและเสรีภาพทางการเมืองในเดือนตุลาคม ก่อนที่จะถูกปราบปรามและเข่นฆ่า อย่างเลือดเย็นโดยเจ้าหน้าที่รัฐและฝ่ายปฏิกิริยาฝ่ายขวาในอีก 3 ปีต่อมา) อาจกล่าวได้ว่าในขณะนั้น ขบวนการเคลื่อนไหวใดก็ตาม ที่ชูธงเสรีภาพและความเป็นธรรมทางสังคม สามารถผสมกลมกลืนและร่วมขบวนการปฏิวัติสังคมไปด้วยกันได้ทั้งสิ้น เนื่องจากมีศัตรูที่ชัดเจนเดียวกัน นั่นคือ รัฐอำนาจนิยม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเรียกร้องสิทธิพลเมือง สิทธิในการแสดงออกทางเพศ กลุ่มต่อต้านกระแสบริโภคนิยม ไปจนถึงกลุ่มต่อต้านสงครามเวียตนาม ความต้องการและถวิลหาเสรีภาพของปัจเจกชนนี้เอง ที่ช่วยให้ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเหล่านี้ เต็มใจอ้าแขนรับแนวคิดเพื่อเรียกร้องเสรีภาพของนักคิดกลุ่มเสรีนิยมใหม่ ซึ่งเมื่อพิจารณาย้อนหลังไปแล้ว ก็ดูเหมือนจะเข้ากันได้อย่างดีกับวัฒนธรรมความคิดแบบ “หลังสมัยใหม่ (postmodernism) ” ที่ถูกดึงเข้ามาเป็นทางเลือกเชิงตรรกะ ของขบวนการเคลื่อนไหวในขณะนั้นด้วย อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ข้อเรียกร้องสำคัญอีกประการของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม คือความเป็นธรรมทางสังคม ซึ่งแท้จริงแล้ว ขัดแย้งและตรงข้ามกับข้อเสนอของเสรีนิยมใหม่ ที่สนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ข้อเท็จจริงประการนี้กลับไม่ปรากฏชัดเจนในขณะนั้น อาจเป็นเพราะข้ออ้างเชิงทฤษฎี ในเรื่องการแข่งขันสมบูรณ์ของเสรีนิยมใหม่นั้นเอง ที่ยังสามารถใช้เป็นม่านบังให้กับระบบทุนนิยมอย่างได้ผล เช่นเดียวกับที่สำนักเสรีนิยมนีโอคลาสสิค เคยใช้ข้ออ้างข้อเดียวกันนี้มาแล้ว ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนทำให้เกิดข้อเรียกร้องการปฏิวัติของชนชั้นจากมาร์กซ์ [3] 4. เสรีนิยมใหม่ กระบอกเสียงของนายทุนและเครื่องมือพิฆาตฝ่ายซ้าย การผลิตซ้ำแนวความคิดของเสรีนิยมใหม่ในสหรัฐฯ นั้น เกิดขึ้นผ่านการให้ทุนสนับสนุนจากองค์กรธุรกิจ ไปยังสถาบันผลิตความคิด เช่น the Hoover Institute, the Center for the Study of American Business, the American Entreprise Institute ไปจนถึงสถาบันวิจัยที่มีชื่อเสียงอย่างเช่น National Bureau of Economic Research (NBER) ซึ่งได้รับการกำหนดหัวข้อวิจัยจากกลุ่มทุน เพื่อเป้าหมายในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับนโยบายแบบเสรีนิยมใหม่ ปรากฏว่า กว่าครึ่งหนึ่งของเงินทุนสนับสนุนงานวิจัยของ NBER นั้น ได้จากองค์กรธุรกิจชั้นนำและกลุ่มบริษัท Fortune 500 จึงทำให้ไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมแนวความคิดแบบเสรีนิยมใหม่นี้ จึงได้ถูกผลิตซ้ำอย่างกว้างขวาง โดยคณะเศรษฐศาสตร์ของมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ และมหาวิทยาลัยทั่วโลก หรือหากจะพิจารณาให้ลึกซึ้งลงไป ในแกนกลางของการผลิตความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์เอง อาจกล่าวได้ว่าทฤษฎีที่เกิดขึ้นหลังสำนักเคนส์เซียนนั้น สามารถนำมาใช้สร้างความชอบธรรมให้กับเสรีนิยมใหม่ได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นทฤษฎีสายการเงินนิยมของฟริดแมน ทฤษฎีการคาดการณ์อย่างมีเหตุผล (rational expectations) ของโรเบิร์ต ลูคัส, ทฤษฎีทางเลือกสาธารณะ (public choice) ของสำนักชิคาโก หรือแม้กระทั่งทฤษฎีที่เน้นด้านอุปทาน (supply-side) ที่เสนอโดยอาร์เธอร์ ลาฟเฟอร์ (ทฤษฎีเหล่านี้) เห็นไปในทางเดียวกันว่า การแทรกแซงของรัฐคือปัญหามากกว่าการแก้ไข และเสนอให้ใช้นโยบายการเงินแบบมีเสถียรภาพร่วมกับการลดภาษี เพื่อเป็นมาตรการสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ประกอบการ แนวทฤษฎีและนโยบายลักษณะนี้ ยังได้รับการผลิตซ้ำจากวารสารทางการเงินอย่าง Wall Street Journal และมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่างสแตนฟอร์ดและฮาร์วาร์ดซึ่งกลายเป็น ศูนย์กลางของการผลิตความคิดเสรีนิยมกระแสหลักในปัจจุบัน ในพื้นที่นอกสังคมวิชาการ ซีรีย์ทางโทรทัศน์เพื่อให้ความรู้ เกี่ยวกับเสรีภาพทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองของฟริดแมนที่ชื่อว่า Free to choose (ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจากกลุ่มทุนธุรกิจเช่นกัน) ก็เริ่มออกอากาศทางช่อง PBSในปี 1977 และประสบความสำเร็จอย่างสูงในฐานะรายการคุณภาพ ซึ่งต่อมาได้รับการผลิตซ้ำ เป็นหนังสือที่กลายเป็นหนังสือขายดีที่สุดเล่มหนึ่งจนกระทั่งปัจจุบัน [4] ผลของการเผยแพร่ลัทธิเสรีนิยมใหม่นี้ ปรากฏชัดเจนในประเทศสหรัฐฯ และอังกฤษก่อน แล้วจึงค่อยแผ่ขยายอาณาบริเวณ ไปยังประเทศอาณานิคมชั้นในของจักรวรรดินิยมรูปแบบใหม่ซึ่งมีสหรัฐฯ เป็นเจ้าอาณานิคมประเทศอาณานิคมชั้นในนี้ หมายถึงประเทศในภูมิภาคลาตินอเมริกา นอกจากนี้ อิทธิพลของลัทธิเสรีนิยม ยังแผ่ขยายไปยังประเทศรอบนอกผ่านทางองค์กรระหว่างประเทศอย่างไอเอ็มเอฟและธนาคารโลก สักขีพยานที่ชัดเจนต่อคำกล่าวหานี้ ก็คือคำกล่าวของโจเซฟ สติกลิทซ์ อดีตรองประธานและหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลกในหนังสือ Globalization and its discontents ของ เขาว่า จุดเปลี่ยนที่สำคัญภายในองค์กรของไอเอ็มเอฟคือ การเปลี่ยนถ่ายเอานักเศรษฐศาสตร์สายเสรีนิยมใหม่ เข้าแทนที่พวกเคนส์เซียนใน ช่วงปี 1982 ซึ่งทำให้ไอเอ็มเอฟกลายเป็นกลไกรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มทุนในสหรัฐฯ และกระบอกเสียงของเสรีนิยมใหม่ในประเทศกำลังพัฒนาอย่างเต็มตัว [5] ในประเทศอังกฤษ ชัยชนะของแทตเชอร์หมายถึง การหยุดชะงักของการเมืองแบบสังคมนิยมประชาธิปไตย ที่ก่อตัวและเติบโตขึ้นภายหลังปี 1945 พลังของสหภาพแรงงาน ถูกทำลายลงด้วยการผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆ ของตลาดแรงงาน เพื่อความคล่องตัวและยืดหยุ่น ในการจ้างงานและความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรม แนวโน้มของรัฐสวัสดิการต้องกลับหลังหันอย่างทันทีทันใด บริการของรัฐอย่างเช่น โครงการสวัสดิการที่อยู่อาศัยถูกโอนไปเป็นของเอกชน มีการลดภาษีเพื่อสร้างแรงจูงใจ ให้ผู้ประกอบการและกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่า บรรยากาศในการลงทุนที่ดีของประเทศและการไหลเข้าของทุนจากต่างประเทศ สังคมอังกฤษหันไปให้ความสำคัญกับความเป็นปัจเจกชน และความรับผิดชอบของปัจเจก กรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลและคุณค่าของครอบครัว แทนที่ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของสังคม ในสหรัฐฯ ภายหลังการขึ้นสู่ตำแหน่งของเรแกนในปี 1980 นโยบายเศรษฐกิจแบบเคนส์เซียน ตามหลักการนิวดีลของประธานาธิบดีคาร์เตอร์ที่ ให้ความสำคัญกับเป้าหมายการจ้างงานเต็มที่ ถูกแทนที่ด้วยนโยบายแบบเสรีนิยม เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อ ที่ปรึกษาของเรแกนเห็นว่า ตัวยาขนานการเงินนิยมของโวลค์เกอร์ ประธานของเฟดในสมัยของคาร์เตอร์นั้นใช้ได้ผล เรแกนจึงแต่งตั้งเขากลับเข้าดำรงตำแหน่งประธานของเฟดอีกครั้ง และสนับสนุนนโยบายในลักษณะเปิดเสรีมากขึ้น มีการลดภาษี ลดทอนอำนาจของสหภาพและสมาคมอาชีพต่างๆ ทั้งนี้ การลดหย่อนภาษีการลงทุน ทำให้ทุนเคลื่อนย้ายจากภูมิภาคที่สหภาพแรงงานเข้มแข็ง โดยเฉพาะในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือและมิดเวสต์ ไปในเขตที่ปลอดสหภาพทางใต้และตะวันตก ทุนทางการเงินเริ่มมองหาแหล่งลงทุนใหม่ที่ให้ผลตอบแทนสูง รวมทั้งการย้ายฐานการผลิตอุตสาหกรรม ไปลงทุนและทำการผลิตนอกประเทศ เริ่มกลายเป็นปรากฏการณ์ปกติ ภาษีธุรกิจลดลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ของภาษีส่วนบุคคลลดลงจากที่เคยสูงถึง 70 เป็น 28 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งกลายเป็นปรากฏการณ์ลดภาษีที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ นี่คือจุดเริ่มต้นก่อตัว ความเหลื่อมล้ำทางสังคมและอำนาจทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นของชนชั้นรายได้สูง มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าความจริงแล้ว กระบวนการเสรีนิยมใหม่ ไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางแนวคิดหรือทฤษฎีเศรษฐกิจมาก เท่ากับเป็นผลของความพยายามรักษาอำนาจในการจัดสรรทรัพยากรและสถานะทางสังคมของชนชั้นนายทุน [6] 5. ทักษิโณมิกส์กับเงาของเสรีนิยมใหม่ หากจะกล่าวถึงตัวอย่างของนักเศรษฐศาสตร์ลาตินอเมริกาที่คนไทยรู้จักดี ตัวอย่างแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์ชาวเปรู เฮอนานโด เดอ โซโต (Hernando De Soto) เกี่ยวกับ “ทุนที่ตายแล้ว (dead capital)” ก็ได้รับอิทธิพลจากลัทธิเสรีนิยมใหม่อย่างชัดเจน ทฤษฎีของเขาได้รับการยกย่องจากอดีตนายกทักษิณ ชิณวัตร ที่ประกาศแนะนำให้หนังสือ The mystery of capital เป็นหนังสือสำคัญที่คนไทยต้องอ่านและนำทฤษฏีของเดอ โซโตเรื่องทุนที่ตายแล้วและภาคธุรกิจใต้ดินมาประยุกต์เป็นนโยบาย “แปลงสินทรัพย์เป็นทุน” ซึ่งถูกใช้เป็นนโยบายสำคัญเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน ถึงแม้นิตยสารชั้นนำทางธุรกิจอย่าง Time, Forbes, หรือ The New York Times Magazine จะสรรเสริญให้เดอ โซโต เป็นดาวเด่นในศตวรรษ ในฐานะผู้สร้างนวัตกรรมทางความรู้เกี่ยวกับ “ทุน” และการแก้ปัญหา “ความยากจน” แต่สถาบันเพื่อเสรีภาพและประชาธิปไตย ที่ก่อตั้งโดยเดอ โซโตเอง รวมทั้งหนังสือของเขา ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในวารสารวิชาการทางเศรษฐศาสตร์ว่า เป็นเพียงเครื่องมือทางการเมืองหรือกระบอกเสียงที่ใช้เผยแพร่ อุดมคติแบบเสรีนิยมใหม่ของสำนักชิคาโก ยิ่งไปกว่านั้น หนังสือหรือบทความที่ผลิตโดยสถาบันนี้ ยังถูกวิจารณ์ว่าขาดมาตรฐานตามบรรทัดฐานทางวิชาการ และมีลักษณะใกล้เคียงกับบทความเพื่อเผยแพร่อุดมการณ์ทางการเมืองมากกว่า สักขีพยานที่สำคัญที่แสดงว่าเดอ โซโตนั้น ทำหน้าที่กระบอกเสียงนี้ได้อย่างดีเยี่ยมคือรางวัล “Milton Friedman prize for the advancing liberty” ที่เขาได้รับเกียรติในปี 2004 จากสถาบันคาโต (Cato Institute) ซึ่งเป็นสถาบันที่ส่งเสริมคุณค่าทางด้านเสรีนิยมอย่างเข้มแข็งในสหรัฐฯ ทั้งนี้ รายชื่อคณะกรรมการนานาชาติสำหรับการมอบรางวัลมิลตัน ฟริดแมน ในปี 2008 นี้ ประกอบด้วย ประธานของสถาบันคาโต, ภริยาของ ฟริดแมน ผู้ร่วมก่อตั้งกองทุนโรส-ฟริดแมน ซึ่งมีบทบาทสำคัญร่วมกับฟริดแมน ในการเผยแพร่แนวคิดเสรีนิยมใหม่ในอเมริกา ผ่านหนังสือของเขาและรายการโทรทัศน์ Free to Choose, อดีตรัฐมนตรีคลังของเม็กซิโก Francisco Gil Díaz, ประธานบริษัทและซีอีโอของ Koch Industries Inc. ของสหรัฐฯ, ประธานบริษัทสื่อ Next Media ของฮ่องกง, รวมทั้ง Editorial Board ของ The Wall Street Journal (Mary Anastasia O’Grady) และบรรณาธิการของนิตยสาร Newsweek International (Fareed Zakaria) ส่วนคณะกรรมการในอดีตที่สำคัญคือ อดีตนายกฯ อังกฤษมากาเรต แทตเชอร์, ประธานาธิบดีของสาธารณรัฐเชค Václav Klaus รวมทั้งประธานและซีอีโอของเฟดเอ็กซ์ คอร์ปอเรชัน [7] อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าเสรีนิยมใหม่ในสหรัฐฯ จะรอดพ้นจากวิกฤตด้านความชอบธรรมอย่างหมดจด นักวิจารณ์และนักวิชาการจำนวนมาก ตั้งคำถามกับกระบวนการผลิตซ้ำลัทธิเสรีนิยมใหม่ ของสถาบันการศึกษษระดับสูงอย่างเช่นมหาวิทยาลัยชิคาโก ตัวอย่างรูปธรรมที่ชัดเจนคือ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บุคลากรด้านวิชาการของมหาวิทยาลัยชิคาโกจำนวนร้อยกว่าคน เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงประธานมหาวิทยาลัย เพื่อคัดค้านการทุ่มงบประมาณ 200 ล้านเหรียญเพื่อสร้างสถาบันฟริดแมน โดยในจดหมายดังกล่าว บุคลากรเหล่านี้ ได้ให้เหตุผลแสดงความห่วงใย ต่อภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยในทางลบที่เกิดจาก “neoliberal global order” [8] ทั้งนี้ ในหนังสือเล่มล่าสุดของนาโอมิ ไคลน์ (Naomi Klein) ที่ชื่อว่า The Shock Doctrine : The Rise of Disaster Capitalism [9]เธอถึงกับตั้งสมมุติฐานว่าแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ของฟริดแมน อยู่บนหลักการพื้นฐานเดียวกับที่หน่วยงาน CIA ใช้ทรมานและสอบสวนผู้ต้องขังคดีก่อการร้ายในคุก Abu Ghraib ของอิรัก ซึ่งตกเป็นข่าวฉาวโฉ่ไปทั่วโลก กับกรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้ถูกคุมขัง สมมุติฐานที่ผู้เขียนขอแปลว่า ทุนนิยมหายนะ มาอธิบาย การครอบงำทางอุดมการณ์ของลัทธิเศรษฐกิจการเมืองแบบเสรีนิยมใหม่ที่นำโดยสหรัฐฯในปัจจุบัน โดยเนื้อหาสำคัญคือ การพยายามแสดงให้เห็นว่า ฟริดแมนเองนำหลักการของความกลัว และวิธีการเดียวกับที่ใช้บำบัดผู้ป่วยทางจิตในอดีต โดยสร้างอาการช็อกมาประยุกต์ในระดับสังคมอย่างไร กล่าวคือ ในระดับปัจเจก วิธีการบำบัดแบบ Shock Therapy นี้ทำลายสภาวะแห่งเหตุผลและลดทอนให้บุคคลมีสภาพไม่ต่างจากทารก เมื่อประยุกต์ใช้ในระดับสังคม ความกลัวความไม่มั่นคง เศรษฐกิจตกต่ำ เงินเฟ้อ การตกงาน ความยากจน วิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากแนวนโยบายที่ฝ่ายเสรีนิยมใหม่เสนอ ในทางสังคมและการเมือง ก็ทำให้ประชาชนไม่ต่างจากทารก ที่ต้องพึ่งพาและเชื่อฟังผู้นำ รวมทั้งสามารถบ่อนทำลายเสรีภาพและประชาธิปไตยได้อย่างชะงัดนัก 6. การเมืองแบบเสรีนิยมในประเทศไทย การครอบงำของวัฒนธรรมแบบเสรีนิยมใหม่ในเศรษฐกิจโลก ทำให้เงื่อนไขการเปิดเสรีทางการเงินและการค้า ปรากฏต่อรัฐไทยในฐานะภาวะที่จำเป็นหรือสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ ที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ในนัยที่ “ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” แทนที่จะเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งในเชิงนโยบาย ในทางการเมือง วัฒนธรรมเศรษฐกิจตามแบบเสรีนิยมใหม่ ยังมีส่วนไม่น้อย ในการกำหนดทิศทางและโฉมหน้าการเมืองไทยในช่วงรอยต่อ โดยผ่านสิ่งที่ ศ.ดร. ผาสุก พงษ์ไพจิตรและคริส เบเคอร์เรียกว่า “การเมืองของการเปิดเสรี” ที่เกิดขึ้นหลังกระบวนการทำให้เป็นอุตสาหกรรม (industrialisation) และเปิดเสรีตลาดสินค้าอย่างรวดเร็วของไทยในช่วงหลังทศวรรษ 2520 [10] ตัวอย่างที่ชัดเจนที่แสดงให้เห็นว่า การยอมรับวัฒนธรรมเศรษฐกิจตามรูปแบบเสรีนิยมใหม่ นั้น ได้ทำให้กระบวนการจัดสรรอำนาจทางการเมืองเปลี่ยนแปลงไป คือ การเมืองไทยตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหารในเดือนพฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 ไปจนกระทั่งการปฏิรูปการเมืองในช่วงปี 2540 อันนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญและเกิดรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 (ที่ถูกฉีกในเวลา 10 ต่อมาโดยคณะรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549) ทั้งนี้ วัฒนธรรมทุนนิยมแบบเสรีนิยมใหม่ที่กำลังพูดถึงนั้น เข้ามามีอิทธิพลในกระบวนการจัดสรรอำนาจ โดยผ่านปัจจัยสำคัญ คือ อิทธิพลของสื่อตะวันตกและการขยายตัวของชนชั้นกลางในเมืองของไทย ตามการวิเคราะห์ของ ศ.ดร. ผาสุก พงษ์ไพจิตรและคริส เบเคอร์ ภายหลังทศวรรษ 2520 มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่สำคัญกับเศรษฐกิจไทย 2 ประการคือ ประการแรก ไทยหันมาเน้นอุตสาหกรรมผลิตเพื่อส่งออก ซึ่งในขณะเดียวกัน เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในปี 2530 ก็เพิ่มมากขึ้นในปริมาณที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ประการที่สอง ระหว่างปี 2532-2536 ภาคการเงินระหว่างประเทศถูกเปิดเสรีบางส่วน ในปี 2538 ปีเดียว เงินทุนหมุนเวียนในบัญชีทุนมากเท่ากับทั้งหมดที่ปรากฏในช่วง 10 ปีระหว่างต้นทศวรรษ 2510-2520 และหนี้ต่างประเทศของเอกชนเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าในเวลา 8 ปี ทั้งหมดนี้ ทำให้อิทธิพลของปัจจัยภายนอกเข้ามามีบทบาทกับการเมืองไทย โดยผ่าน “การจับจ้องอย่างใกล้ชิด” ของสื่อการเงินต่างประเทศและสถาบันเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (เช่นธนาคารโลก ไอเอ็มเอฟ เอดีบี บีไอเอส แกตต์) หรือที่อาจารย์ทั้งสองท่านใช้คำว่า “การกำกับสอดส่องจากภายนอก” โดยท่านได้ยกตัวอย่างของ การขยายกิจกรรมของนิตยสารการเงินหลายฉบับในประเทศไทย เช่น The Economist และ Institutional Investor ที่เริ่มจ้างตำแหน่งประจำในประเทศไทย หรือ Asian Wall Street Journal ก็เพิ่มพื้นที่และเริ่มเปิดแผนกภาษาไทย หรือกระทั่งที่ดาวน์โจนส์ หันมาสนใจถูมิภาคนี้ โดยเริ่มเป็นสมาชิกนิตยสาร FEER ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ บทความวิเคราะห์ทางด้านการเงินจากนิตยสารเหล่านี้ รวมทั้งที่ผลิตจากนักวิเคราะห์ขององค์กร ถูกผลิตซ้ำอย่างเป็นระบบ จากสื่อท้องถิ่นหรือสื่อไทย เพราะความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านทางเทคนิคที่ยังขาดแคลนในประเทศ สื่อเหล่านี้ มีตลาดที่สำคัญคือชนชั้นกลางและชนชั้นแรงงานคอปกขาว ในเมืองที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วและเป็นผลจากการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงก่อนหน้า สิ่งที่สำคัญคือ ฐานะทางเศรษฐกิจและสภาพความเป็นอยู่ของคนกลุ่มนี้ ผูกติดกับระบบเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งถูกกำหนดจากปัจจัยภายนอกเป็นสำคัญ ถึงจะมีจำนวนไม่มากนัก และมีอิทธิพลทางการเมืองเพียงสามารถกำหนดจำนวนที่นั่งส.ส.ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนที่นั่งทั้งหมด แต่ก็เป็นที่ยอมรับว่า คนกลุ่มนี้เองที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ในช่วงปี 2534-2535 และเปิดโอกาสให้ทหารเข้ายึดอำนาจคณะรัฐบาล “บุฟเฟท์”ในขณะนั้น โดยข้อหาคอรัปชั่นและเหตุจากปัญหาเศรษฐกิจโดยตรงคือ ดัชนีตลาดหุ้นดิ่งลงอย่างรุนแรง ประกอบกับนักลงทุนต่างชาติถอนเงินลงทุน เนื่องจากขาดความเชื่อมั่น [11] ที่น่าสนใจและเป็นเรื่องเหมือนเรื่องตลกเสียดสีก็คือ การเสื่อมความนิยมของคนกลุ่มเดียวกันนี้เอง กลับมีส่วนทำให้ กลุ่มทหารต้องถอนบทบาททางการเมืองอย่างสิ้นเชิงในช่วง 10 ปีหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เราอาจเรียกปรากฏการณ์ลุกฮือของชนชั้นแรงงานคอปกขาวนี้ อย่างที่สื่อมักนิยม ใช้คำว่า “ม็อบมือถือ” ตามการสำรวจที่พบว่าผู้มาร่วมชุมนุมเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2535 ณ ท้องสนามหลวงนั้นร้อยละ 45.7 ทำงานเอกชน ในขณะที่เป็นข้าราชการร้อยละ 14.8 เป็นเจ้าของกิจการ 13.7 โดยที่เป็นนิสิตนักศึกษาร้อยละ 8.4 [12] ควรกล่าวไว้ในที่นี้ด้วยว่า ความสำเร็จในขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองในเดือนพฤษภาคม 2535 นั้น ถึงแม้จะเกิดขึ้นจากกลุ่มผู้ชุมนุมที่ค่อนข้างหลากหลาย กล่าวคือประกอบด้วยหลากหลายสาขาอาชีพ เมื่อเปรียบเทียบกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เคยเกิดขึ้นในอดีต แต่ก็เกิดขึ้นจากความสามารถผสมผสานลงตัวของ การเรียกร้องที่มีหัวใจอยู่ที่ “เสรีภาพในการแสดงออก ความโปร่งใสและประสิทธิภาพในการบริหาร” ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญประการหนึ่งของการเคลื่อนไหวแบบ “เสรีนิยมใหม่” ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง ของอิทธิพลของลัทธิเสรีนิยมใหม่ในประเทศไทย ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ และก่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการจัดสรรอำนาจ ในพื้นที่การเมือง ซึ่งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้น โดยทางอ้อมและค่อยเป็นค่อยไปและไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลยกับ อิทธิพลที่แผ่ขยายโดยตรง ในแกนกลางของแวดวงผลิตความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ ที่สำนักเสรีนิยมใหม่นี้ได้ครอบงำมาเป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษ ในที่สุดแล้ว อาจกล่าวได้ว่าอิทธิพลของเสรีนิยมใหม่ ในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจและการศึกษา วิจัยทางด้านเศรษฐศาสตร์ของไทยนั้น ได้ทำให้ เสรีภาพของปัจเจกชนและกรรมสิทธิ์นั้นกลายเป็น raison d’être ของระบบเศรษฐกิจไทยไปโดยปริยาย สรุป อิทธิพลของลัทธิเสรีนิยมใหม่ ได้ประสบความสำเร็จในการปลูกฝังระบบคุณค่าและกระบวนการคิด ไม่เพียงแต่ในสังคมของประเทศอุตสาหกรรมตะวันตก แต่ยังรวมไปถึงในสังคมของประเทศกำลังพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างประเทศไทย ทั้งนี้ ความแยบยลของการเผยแพร่กระบวนทัศน์นี้ ถูกกระทำผ่านกระบวนการกำหนดทิศทางและผลิตประเด็นการศึกษาวิจัย รวมทั้งกระบวนการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจนำ ภายในระยะเวลาเกือบครึ่งศตวรรษ จนสามารถสร้างความชอบธรรม ให้กับระเบียบใหม่ ที่เป็นส่วนผสมระหว่างระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและการปกครองเสรีประชาธิปไตย ในลักษณะที่เรียกว่า “ โดยดุษฎีและโดยปริยาย ”
Posted on: Sat, 23 Nov 2013 01:08:25 +0000

Trending Topics



Recently Viewed Topics




© 2015