อยากให้อ่าน - TopicsExpress



          

อยากให้อ่าน เขียนโดยคุณหมอท่านหนึ่ง เมื่อ 2-3 วันก่อน ขณะที่กลุ่มแพทย์กำลังทำการรักษา เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยท่านหนึ่งอยู่ มีเสียงดังโวยวายอยู่นอกห้องตรวจรักษา เจ้าหน้าที่ที่ counter เล่าให้ฟังว่า ญาติผู้ป่วยกำลังโวยวายว่า จะเอาขี้ไปปาพวกต่อต้านพรบ.นิรโทษกรรม คุณพยาบาลจึงออกไปพูดกับญาติท่านนั้น สักครู่เสียงก็เงียบลง ผมถามคุณพยาบาลว่า ไปพูดอะไรกับญาติคนไข้ คุณพยาบาลบอกว่า ‘หนูพูดว่า ถ้าจะเอาขี้ไปปาพวกต่อต้านพรบ.ฯละก็ เชิญเข้าไปในห้องตรวจรักษาได้เลยค่ะ พวกคุณหมอที่กำลังช่วยชีวิตคุณพ่อคุณอยู่นั่นไง ที่ต่อต้านพรบ.ฯ ’ผมอดคิดขำๆไม่ได้ว่า โชคดีที่คนไข้ปลอดภัยดี ไม่งั้นเราคงโดนปาระเบิด ไม่ใช่แค่อุจจาระ..ขณะเดียวกัน ผมก็อดสะท้อนใจไม่ได้ว่า สังคมเรากำลังป่วยหนักอย่างแท้จริง คนพร้อมจะประหัตประหารกันเพียงเพราะความคิดทางการเมืองที่ต่างกัน ทั้งที่ไม่เคยรู้จัก หรือบาดหมางกันมาก่อนเลย ผมเองก็เคยถูกความคิดอคตินี้เข้าครอบงำ จนกระทั่ง วันหนึ่ง ขณะกำลังขับรถกลับบ้าน ได้เห็น ซาเล้งคันหนึ่ง ตกลงข้างทาง ของในรถหนักมาก จนไม่อาจเข็นรถกลับขึ้นมาบนถนนได้ สักครู่ มีวินมอเตอร์ไซด์เสื้อแดง 3-4 คน กุลีกุจอมาช่วยกันยกซาเล้ง หลายคนมอมแมม แต่ทุกคนก็สุขใจวินาทีนั้นเอง ผมได้เห็นความงดงามในจิตใจของคนเสื้อแดง เขามีน้ำใจช่วยเหลือกันอย่างน่าชื่นชม และผมเชื่อว่า วินมอเตอร์ไซด์เสื้อแดง 3- 4 ท่านนี้ แท้จริงแล้ว เป็นตัวแทนของคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ ที่ลึกๆในจิตใจนั้น ยังคงอ่อนโยน งดงามและสัตย์ซื่อ เวลานั้น ผมได้แต่ถามตนเองว่า แล้วเกิดอะไรขึ้นกับคนเสื้อแดงที่อยู่ในม็อบ ทำไมคนเหล่านั้น จึงเกรี้ยวกราด และดูอันตราย...จนวันหนึ่ง ผมได้ชมสารคดีเรื่อง ‘The Nazi Gospel’ ผมคิดว่า ผมได้คำตอบ..คนไทยจำนวนไม่น้อย ถูกหลอกให้เชื่อใน ‘ลัทธิ’ บางอย่าง ที่ใส่ชื่อสวยหรูว่า ‘ประชาธิปไตย’ประวัติศาสตร์สอนบทเรียนให้เราเสมอมา..‘The Nazi Gospel’ เป็นสารคดีที่กล่าวถึง ประเทศเยอรมัน ภายใต้ ‘ลัทธินาซี’เมื่อคราวที่ฮิตเลอร์ขึ้นครองอำนาจ และชักจูงคนเยอรมันให้เดินตามไปนั้น ฮิตเลอร์ได้จับเอาความขมขื่นที่คนเยอรมันพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1, ความตกต่ำทางเศรษฐกิจ มาเป็นจุดขายว่า ‘ลัทธิ’ นาซีจะนำพาประเทศกลับสู่ความรุ่งโรจน์อีกครั้ง ผู้คนเยอรมันมากมายหลงใหลใน ‘ท่านผู้นำ’ การโฆษณาชวนเชื่อ, จิตวิทยาหมู่, การประชาสัมพันธ์อย่างยอดเยี่ยม และการหา ‘ศัตรูร่วม’ นำพาเยอรมันกระโจนเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งจบลงด้วยความพินาศของเยอรมันเอง และประเทศแตกออกเป็น 2 ส่วน ผู้คนในชาติต้องเจ็บปวด ระทมทุกข์เพราะเดินตาม ‘ความฝัน’ จอมเผด็จการผู้นี้...กว่าชนชาวเยอรมันจะรู้ตัวว่า เลือกผู้นำผิด ก็ย่อยยับทั้งประเทศในระหว่างที่ นาซี เรืองอำนาจ เด็กหนุ่มทั้งหลาย ถูกชักจูงให้เดินตาม ‘ท่านผู้นำ’ พวกเขาพร้อมจะทิ้งทุกอย่างเพื่อพรรคนาซี ทิ้งกระทั่ง ความเป็น ‘มนุษย์’ของตนเอง…ไวเซนทอล เป็นยิวคนเดียวในครอบครัวของเขา 78 คน ที่รอดชีวิตจากการสังหารหมู่ที่โหดร้าย เขาต้องทนดูพ่อ-แม่, ปู่-ย่า ถูกสังหารต่อหน้าต่อตา ไวเซนทอล ยังหนุ่มแน่นจึงได้รับการไว้ชีวิต และทำงานในโรงพยาบาลทหารแห่งหนึ่งวันหนึ่ง ไวเซนทอล ถูกพาตัวไปห้องมืด และถูกทิ้งไว้กับนายทหารหนุ่มนาซีซึ่งบาดเจ็บสาหัสกำลังจะสิ้นใจ นายทหารหนุ่มนาซีผู้นั้น ถามไวเซนทอลว่า ‘แกเป็นยิวใช่ไหม ฉันมีเรื่องจะเล่าให้แกฟัง..นายทหารหนุ่มนาซีเล่าว่า ตอนที่เขาและพรรคพวกลาดตระเวนในหมู่บ้านเล็กๆในเขตรัสเซีย ทหารคนหนึ่งเหยียบกับระเบิด ส่งผลให้มีคนตายและบาดเจ็บหลายคน ด้วยความโกรธ..‘...ฉันก็เลย จับยิวทั้งหมู่บ้านกว่า 20 ชีวิตขังไว้ในโรงนา ตอกตะปูปิด และจุดไฟเผา..ฉันสั่งลูกน้องให้ยิงทุกคนที่วิ่งออกมา มันนานมาแล้วแต่ฉันจำได้ดี..พ่อ-แม่คู่หนึ่งพยายามกระโดดหนีออกทางหน้าต่าง ทั้งคู่ไฟลุกท่วมทั้งตัว ในอ้อมแขน มีทารกน้อย ที่ผู้เป็นแม่กอดไว้ให้พ้นจากเปลวไฟ เมื่อเห็นทหารลังเล ฉันออกคำสั่งในยิง...เวลานั้น ฉันไม่รู้สึกอะไรเลย.แต่ทุกวันนี้ ฉันยังจำกลิ่นเนื้อมนุษย์ไหม้ไฟ และเสียงกรีดร้องของแม่ลูกคู่นั้นได้ดี..โอ..มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน..ตอนนี้ ฉันกำลังจะตาย และแกเป็นยิวคนเดียวที่ฉันหาได้ แกจะยกโทษให้ฉันได้ไหม’ไวเซนทอลตัดสินใจทิ้งให้นายทหารหนุ่มนั้นสิ้นใจลงโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว จวบจนสงครามโลกสงบลง ไวเซนทอลกลับบ้าน แต่เรื่องนี้ ตามหลอกหลอน จนเขาต้องเดินทางไปพบแม่ของนายทหารหนุ่มนั้นที่เยอรมัน โดยหวังจะลบสิ่งที่ตามหลอกหลอน เหตุการณ์กลับกลายเป็นว่า ตัวตนของนายทหารหนุ่มนาซี กลับยิ่งแจ่มชัดในความทรงจำของไวเซลทอล จากคำพูดของแม่นายทหารที่จบชีวิตลงโดยมิได้รับการอภัย ว่า‘โอ..ตอนเล็กๆ เขาเป็นเด็กที่อ่อนโยน และน่ารักมาก เป็นคาธอลิคที่เคร่งครัด..นกสักตัว เขายังไม่กล้าทำร้ายมันเลย’จากเรื่องราวนี้ ผมได้เห็นความร้ายแรงของ ‘ลัทธิ’ ที่ไม่เพียงล้างสมองผู้คน แต่ได้ล้างความเป็นมนุษย์ออกไปด้วย และยังเป็นเครื่องพิสูจน์อีกว่า ‘เสียงข้างมาก’ ที่ไร้คุณธรรมกำกับ สามารถทำลายล้างได้รุนแรงเพียงใดประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอย หากคนไทยไม่พยายามเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่นในอดีต ทุกวันนี้ คนในตระกูลหนึ่ง ได้จับเอาความเหลื่อมล้ำทางสังคม มาเป็นตัวจุดประกาย หว่านความรู้สึกเกลียดชังให้แก่คนบางกลุ่ม ซึ่งถูกขนานนามว่า อำมาตย์ เพื่อหา ‘ศัตรูร่วม’ ขณะเดียวกัน ก็หว่านเคียดแค้นชิงชังให้แก่ผู้ใดก็ได้ที่มีความเห็นต่างจากคนในตระกูลนี้ โดยอ้างเสียงข้างมาก หลอกให้ผู้คนเชื่อว่า ‘ประชาธิปไตย’ คือ คำตอบของทุกสิ่ง และทำให้คนคลั่งไคล้ในคำว่า ‘ประชาธิปไตย’ จนกลายเป็นลัทธิหนึ่ง ซึ่งล้างสมองผู้คนมากมายลำพังความสามารถทางการประชาสัมพันธ์ และกำลังเงิน เพียงเท่านี้คงไม่สามารถก่อให้เกิดความแตกร้าวในประเทศได้ แต่เพราะนักวิชาการบางคนที่มีความรู้ ทว่าเต็มไปด้วยอคติเดิมๆ ร่วมกับความละโมบของผู้ที่มีความสามารถในการพูดเชิงปลุกเร้า ทำให้คนจำนวนมากติดตาม ‘ความฝัน’ และ ‘ลัทธิ’ นี้ไป และได้สร้างรอยร้าวให้แก่สังคมอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนผมเชื่อว่า คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ ออกมาสู้เพื่อด้วยความหวังดี โดยคิดว่า การเสียสละของพวกเขา จะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงประเทศชาติ แต่หารู้ไม่ว่า เขากำลังเดินตามตระกูลหนึ่ง ซึ่งไม่ได้เห็นพวกเขาเป็นอะไรมากไปกว่า เบี้ย 1 ตัวบนกระดาน...จากความพยายามออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย ทำให้ บัดนี้เป็นที่เห็นชัดเจนแล้ว ว่า การที่คนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งต้องเสียชีวิตในการชุมนุมเรียกร้องเมื่อ 2-3 ปีก่อนนั้น เป็นเพียงการแผ้วถางทางไปสู่การที่คนในตระกูลนี้ จะเรียกร้องเอาเงินสกปรกซึ่งคิดว่า เป็นของตนเอง คืนเข้ากระเป๋า..เท่านั้นเองชีวิตของคนเสื้อแดงเป็นเพียงเหยื่อ และผู้วางเหยื่อ ก็คือ คนในตระกูลดังกล่าว กับลิ่วล้อที่พยายามสร้างความสำคัญ และความร่ำรวยให้กับตนเอง โดยเส้นทางที่ใช้เดินนั้นได้เหยียบย่ำลงไปบนหัวใจของผู้ที่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่ง และบันไดที่ก้าวขึ้นสู่อำนาจนั้น ถูกปูลาดด้วยซากศพของคนเสื้อแดงผู้รักชาติ, ผู้นำคนเสื้อแดงเหล่านี้ได้ขายวิญญาณของตนเองไปแล้ว ไม่แปลกใจที่เขาพร้อมจะขายทุกอย่าง ทั้งพี่น้อง, ผู้ร่วมชุมนุม รวมถึงประเทศที่ให้กำเนิดเขามาผมปรารถนาให้พวกเราที่ต่อต้านพรบ.ฯ เลิกอคติที่มีต่อคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ พวกเขาน่าสงสาร เพราะฝากความหวังไว้กับคนที่ไม่มีความหวัง และไม่มีแม้แต่แผ่นดินบ้านเกิดจะให้อยู่, เขาฝากความหวังไว้กับคนตระบัดสัตย์ และไม่รักษาสัญญา ‘เสียงปืน นัดแรกดังขึ้น ผมจะมาเดินนำพี่น้องเอง’ ..ไหนละครับ, เขาฝากความหวังไว้กับคนที่ปากบอกว่า รักชาติ แต่หน้าที่พื้นฐาน เช่น การเสียภาษี ยังหลบเลี่ยง, ปากบอกว่า รักชาติ แต่เชิดชู และเกี่ยวดองกับกัมพูชา, เขาฝากความหวังไว้กับคนที่ตลอดชีวิต เรียนรู้แต่จะเอาตัวรอดเพียงผู้เดียว ขณะน้องสาวหุ่นเชิดเผชิญวิกฤติเรื่องต่างๆ พี่ชายก็ไม่กล้ายืดอกรับผิดชอบเลยผมอยากเรียนถามคนไทยว่า ทุกวันนี้ ท่านยังถูกหลอกไม่พออีกหรือ ท่านจะขายจิตวิญญาณของตนเองแลกกับเงินไม่กี่พันบาทหรือ, ท่านจะปกป้องบุคคลที่มองเห็นชีวิตของท่านเป็นเพียง บันไดหนึ่งขั้นแห่งการก้าวขึ้นสู่อำนาจหรือ และท่านจะเดินตามและฝากอนาคตไว้กับคนที่สิ้นหวัง ตระบัดสัตย์ ทรยศแม้แต่ประเทศบ้านเกิด และเอาตัวรอดไปวันๆ กระนั้นหรือ...วันนี้ยังไม่สายเกินไปครับคุณหมอคนหนึ่ง
Posted on: Mon, 25 Nov 2013 15:34:00 +0000

Trending Topics



Recently Viewed Topics




© 2015