แนวคิดการลงทุน - TopicsExpress



          

แนวคิดการลงทุน แบบปีเตอร์ ลินช์ ปีเตอร์ ลินซ์ ได้แต่งหนังสือหลายเล่ม แต่เล่มที่ขายดีและโด่งดังเล่มหนึ่งชื่อ ONE UP ON WALL STREET ซึ่งในหนังสือเล่มนี้เขาได้แบ่งกลยุทธ์ในการลงหุ้นไว้อยู่ 6 วิธีใหญ่ๆ โดยมีการคัดเลือกตามกลุ่มหุ้น และในส่วนตัวของผมคิดว่าน่าสนใจและมีแนวคิดที่น่าจะเอาอย่าง 1. The Slow Growers หรือ น่าจะเรียกคำจำกัดความง่ายๆ เป็นภาษาไทยได้ว่า "หุ้นค่อยๆ โต" หรือ "หุ้นโตช้า" ท่านผู้อ่านถ้าใครนึกถึงวัฏจักรธุรกิจได้ที่มีอยู่ 4 ระดับ คือ เริ่มต้น, เติบโต, คงที่ และถดถอย ก็ต้องบอกว่าหุ้น The Slow Growers อยู่ในขั้นตอนการคงที่ ซึ่งโดยลักษณะก็คือ บริษัทเรานี้จะเติบโตเพียงเล็กน้อย แต่อาจจะมีปันผลที่อยู่ในขั้นที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องอาศัยเงินไปขยายกิจการแล้ว ปีเตอร์ ลินซ์ แนะนำว่า หุ้นเหล่านี้ไม่มีอะไรที่น่าสนใจในการลงทุนเพราะจุดเด่นของกิจการหมดไปแล้ว 2. The Stalwarts ค่อนข้างใกล้เคียงกับ The Slow Growers แต่จะแตกต่างเล็กน้อยว่า บริษัทเหล่านี้เป็นบริษัทขนาดใหญ่ แต่การเจริญเติบโตค่อนข้างคงที่ คือ เฉลี่ยต่อปีประมาณ 10% โดยการเคลื่อนไหวราคาหุ้นในกลุ่มนี้มักจะไม่แบนราบเสียทีเดียวแต่ก็จะไม่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ปีเตอร์ ลินซ์ แนะนำว่า การเข้าซื้อหุ้นในบริษัทเช่นนี้ ควรเข้าซื้อในช่วงหุ้นตกหรือเกิดวิกฤตการณ์ เนื่องจากบริษัทแบบนี้จะไม่ล้มหายตายไปไหน ผมคิดๆ ดูแล้ว ค่อนข้างเหมาะสมในภาวะตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันที่ยังอยู่ภาวะที่ไม่ค่อยดี ซึ่งในกลยุทธ์เพิ่มเติมของ ปีเตอร์ ลินซ์ ก็บอกว่านี้คือโอกาสในการเข้าซื้อ และค่อยขายเมื่อเห็นว่ากำไรพอสมควร 3. The Fast Growers คำจำกัดความง่ายๆ ภาษาไทยก็คือ หุ้นที่เจริญเติบโตเร็ว ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นหุ้นที่ขนาดไม่ใหญ่นัก เนื่องจากเป็นบริษัทที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่ โดยถ้านับตามวัฏจักรธุรกิจ ก็คือ อยู่ในช่วงเจริญเติบโต หรือ ท่านผู้อ่านคงคิดง่ายๆ ถึงบรรดาหุ้น ดอทคอม ทั้งหลาย ซึ่งถ้าย้อนถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันเราคงนึกถึงหุ้นในตลาดหุ้น nasdaq ของสหรัฐ เราคงจะเห็นว่าในช่วงหลายปีก่อน มีการปรับตัวขึ้นจากหุ้นละ 10$ ไปสู่ 100$ กว่าๆ อย่างสบาย และในที่สุดเมื่อผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามที่คาดความล้มสลายก็เกิดขึ้นแ ละมีการย้อนกลับมา ที่ระดับราคาเดิม ปีเตอร์ ลินซ์ แนะนำบอกว่า การซื้อหุ้นเหล่านี้เขาแนะนำให้ซื้อเก็บเข้าไว้ แต่ต้องคอยดูงบการเงินของบริษัทเหล่านี้อยู่เสมอ เนื่องจากหุ้น The Slow Growers จะมีการปรับตัวขึ้นก่อนหน้าผลการดำเนินงานและเมื่อไรผมการดำเนินงานไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ราคาหุ้นก็จะปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง ขยายความง่ายๆ สำหรับนักลงทุนที่เพิ่งเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ก็คือ สมมติเราซื้อหุ้นด้วยวิธีการดู P/E (ราคาหารด้วยผลกำไร) ซึ่งยิ่งน้อยจะยิ่งดี แต่ราคาหุ้นในกลุ่มนี้จะขึ้นก่อน แต่กำไรจะไม่แสดง (P/D ราคาหารด้วยความฝัน) เมื่อกำไรที่เกิดขึ้นไปตามที่คาดราคาหุ้นจะขึ้นต่อและค่อนข้างแรง แต่ถ้ากำไรที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตามที่คาดราคาหุ้นจะขึ้นต่อและค่อนข้างแรง แต่ถ้ากำไรที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตามที่ราคา ราคาหุ้นจะลงแรง 4. The Cyclicals ชื่อนี้สำหรับท่านผู้อ่านที่เป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นอยู่แล้วคงจะคุ้นเคย แต่สำหรับท่านผู้อ่านที่ไม่เคยลงทุนในตลาดหุ้นอาจจะต้องทำความเข้าใจหน่อย เพราะว่าหุ้นนี้ก็คือเป็นหุ้นวัฏจักร ก็คือมีขึ้นมีลง สังเกตได้ชัดเจนในหุ้นกลุ่มที่มีการขึ้นลงตามราคาวัตถุดิบ เช่นหุ้นกลุ่มกระดาษ หรือ หุ้นกลุ่มปิโตรเคมี โดยราคาหุ้นเหล่านี้ จะมีการขึ้นลงตามวัตถุดิบไปเรื่อยๆ ปีเตอร์ ลินซ์ แนะนำว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ อยู่ที่จังหวะและโอกาส คือต้องสามารถคาดการณ์ได้ว่าจังหวะไหนจะเป็นวัฏจักรขาขึ้น และควรซื้อหุ้นดักหน้า แต่ถ้าไม่ดีก็ควรขายออกทันที 5. Turnaround Stock เป็นหุ้นที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว จากภาวะตกต่ำและเป็นหุ้นประเภทเดียวจาก 6 กลุ่มที่ ปีเตอร์ ลินซ์ มีการย่ำเป็นพิเศษว่า "ต้องซื้อ" สาเหตุสำคัญก็เนื่องจากว่าหุ้นกลุ่มนี้สามารถสร้างกำไรให้ผู้ซื้ออย่างเป็นกอบเป็นกำ ปีเตอร์ ลินซ์ ยังแนะนำต่อไปว่า การเข้าซื้อหุ้นเหล่านี้ควรช้อนซื้อโดยไม่สนใจคำเตือนของใครๆ และต้องใจเย็นเมื่อซื้อเข้าไปแล้ว และในที่สุดท่านจะได้กำไรอย่างมหาศาล 6. The Asset Play เป็นหุ้นที่อยู่ในรูปของบริษัทที่มีสินทรัพย์แฝงอยู่ แต่ยังไม่เป็นที่เปิดเผยออกมา โดยอาจจะเป็นในรูปที่ดิน, เงินสด หรือสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ก็ได้ ปีเตอร์ ลินซ์ แนะนำว่า ถ้าค้นพบบริษัทไหนมีสินทรัพย์แฝงอยู่ให้ซื้อเก็บไว้และอดทนรอระยะหนึ่ง และก็จะได้กำไรอย่างคุ้มค่าเหนื่อย ------------------------------- วิธีการและแนวทางในการลงทุน อันดับแรก เปิดหูเปิดตาให้กว้างเพื่อรับฟังแนวคิดใหม่ๆ แนวคิดหลักของลินซ์คือ เราสามารถเลือกลงทุนได้จากสิ่งรอบตัวเรา เช่นถ้าเราเลือกที่จะสนใจในสิ่งที่เรารู้และเข้าใจอยู่แล้ว อาจจะเป็นร้านอาหาร ร้านค้า หรือแม้แต่การสังเกตเพื่อนบ้านที่กำลังถอยรถใหม่ออกมา หรือเห็นโรงงานข้างทางกำลังขยายโรงงาน สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นตัวช่วยให้เราเลือกลงทุนกับบริษัทเหล่านั้นได้อย่างเหมาะสม. แหล่งข้อมูลที่คุณสามารถหาได้ดีที่สุด : งานของคุณ ซึ่งมันทำให้คุณคุ้นเคยกับธุรกิจ และคุณสามารถเข้าใจลูกค้า และผู้ขายวัตถุดิบอยู่แล้ว เช่นหากคุณเป็นแพทย์ คุณจะเข้าใจโรงพยาบาล เข้าใจผู้ป่วย และบริษัทเวชภัณฑ์ ว่าเขาทั้งหมดต้องการอะไร และโรงพยาบาล และบริษัทเวชภัณฑ์สามารถสนองความต้องการของผู้ป่วยได้หรือไม่ งานอดิเรกและ การพักผ่อนของคุณ เช่นกีฬาที่เล่น สถานที่ที่เล่น ห้างสรรพสินค้าและสินค้าที่คุณ และเพื่อนๆของคุณนิยมซื้อกันครอบครัวของคุณและของเพื่อนฝูง พวกเขาก็จะมีงานและงานอดิเรกของเขาซึ่งคุณสอบถามข้อมูลจากเขาได้ การสังเกต และประสบการณ์ของคุณที่มีต่อบริษัทที่คุณรู้จัก อันดับที่สอง จัดหมวดหมู่ความคิดของคุณ บริษัทต่างๆสามารถจัดประเภทได้ 6 ประเภทหลักๆ ดังนี้ ประเภทอุ้ยอ้าย (Slow growers) การเติบโตของกำไรจะสุงกว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเล็กน้อย ประมาณ 2-4% ต่อปี ประเภทแข็งแกร่ง(Stalwarts) บริษัทที่ดีมีอัตราการเติบโตประมาณ 10-20% ต่อปี ประเภทโตเร็ว (Fast growers) บริษัทเล็กๆที่มีอัตราการเติบโตที่สูงมากประมาณ 20 -25% ต่อปี ประเภทขึ้นลงตามวัฎจักร (Cyclicals) บริษัทที่กำไรขึ้นลงตามสภาวะเศรษฐกิจ ประเภทเริ่มฟื้นตัว (Turnarounds) บริษัทที่ประสบปัญหา แต่มีสัญญาณแห่งการฟื้นตัวที่ชัดเจน ประเภทสินทรัพย์แฝง (Asset plays) บริษัทที่ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าของสินทรัพย์ หรือมูลค่าตามบัญชีที่เราทราบแต่อีกหลายคนในตลาดยังไม่ทราบ เช่นที่ดินที่มีอยู่อาจมีมูลค่าสูงมาก ในบริษัทประกันภัยที่ตั้งสำรองเงินประกันสูงๆ ใช้ความพยายามที่มีอยู่ในการหาหุ้นประเภทโตเร็ว เพราะหากซื้อที่ราคาที่เหมาะสมอาจทำให้เราได้รับผลตอบแทนสูงถึงสิบเท่าตัว นอกจากนั้นให้มองหาหุ้นประเภทกำลังฟื้นตัว และบางครั้งควรเป็นประเภทมีสินทรัพย์แฝง. อย่าถือเงินสด ทางที่ดีคือนำเงินสดที่เหลืออยู่ไปลงทุนในหุ้นประเภทที่แข็งแกร่ง(Stalwarts) เพราะคุณจะไม่พลาดเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้น หลีกเลี่ยง หุ้นประเภทอุ้ยอ้าย(กำไรน้อยเกินไป) กับหุ้นประเภทขึ้นลงตามวัฎจักรที่กำลังแย่ลง อันดับที่สาม สรุปเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับบริษัทที่เลือกได้ เหตุผลที่สนใจในบริษัทนี้ อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้บริษัทนี้ประสบความสำเร็จ อุปสรรคที่จะทำให้บริษัทล้มเหลวได้ ต้องแน่ใจว่าเรื่องราวเกี่ยวกับบริษัทนั้น ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ถูกต้อง เชื่อถือได้ และสามารถจัดลงในประเภทดังที่กล่าวมาแล้ว ตัวอย่างคำถามง่ายๆที่ควรจะถามตัวเองเสมอเช่น”ถ้าบริษัทนี้จัดเป็นประเภทโตเร็ว แล้วสิ่งใดเป็นตัวที่ทำให้มันเติบโตอย่างต่อเนื่อง? อันดับที่สี่ ตรวจสอบตัวเลขที่สำคัญ Fourthly, check the key numbers. ถ้าคุณสนใจในสินค้าและบริการใดในบริษัท ให้ตรวจสอบว่ายอดขายต้องมากเท่าไรจึงจะสามารถมีกำไรในจำนวนมากได้ (ตรวจสอบ Profit Margin) ให้ความสำคัญกับบริษัทที่อัตราส่วน P/E ต่ำกว่าอัตราการเจริญเติบโตของกำไรต่อหุ้น (ให้ตรวจสอบ PEG) ให้ความสำคัญกับบริษัทที่มีเงินสดจำนวนมากพอที่จะทำให้ธุรกิจแข็งแกร่ง ให้ระวังบริษัทที่มีหนี้สินต่อทุนสูง(D/E หรือ Gearing สูง) โดยเฉพาะหนี้ที่มาจากวงเงินเบิกเกินบัญชี ซึ่งจะต้องจ่ายเมื่อถูกทวงถาม ซึ่งไม่เหมือนกับหุ้นกู้ที่มีระยะเวลากำหนดแน่นอน(ถ้าเป็นหนี้ชนิดหุ้นกู้จะดีกว่าเพราะตราบใดที่ยังจ่ายดอกเบี้ยได้ เจ้าหนี้จะเอาเงินคืนก่อนกำหนดไม่ได้) หากเป็นบริษัทประเภทแข็งแกร่งหรือโตเร็ว ให้เลือกบริษัทที่มีกำไรก่อนภาษีสูงๆ หากเป็นบริษัทประเภทเริ่มฟื้นตัว ให้เลือกบริษัทที่ราคาต่ำแต่มีศักยภาพที่จะกลับมาสูง. อันดับที่ห้า ไม่ต้องไปสนใจการขึ้นลงของตลาด ให้ใช้เหตุผลในการซื้อขายเท่านั้น จำไว้เสมอว่า กำไรขาดทุนที่จะได้รับไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจโดยรวมแต่จะขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะของธุรกิจที่บริษัทดำเนินการอยู่ ดังนั้นไม่ต้องไปสนใจการขึ้นลงของตลาดหุ้น . ซื้อหุ้นเมื่อแน่ใจในเหตุผลที่อยู่เบื้องหลัง ที่ราคาที่เหมาะสม ลงทุนเต็มที่ตลอดเวลา ขายหุ้นประเภทแข็งแกร่ง เมื่อ PEG สูงประมาณ 1.2 – 1.4 หรือเห็นแนวโน้มว่าการเติบโตเริ่มลดลง ขายหุ้นประเภทโตเร็ว เมื่อเห็นสัญญาณว่าจะไม่มีทางขยายการลงทุนได้อีกแล้ว หรือการขยายกิจการนั้นเริ่มทำให้การขยายตัวลดลง หรือเมื่อ PEG สูงประมาณ 1.5 – 2.0 ขายหุ้นประเภทมีสินทรัพย์แฝง เมื่อมีการซื้อกิจการเกิดขึ้น หรือเมื่อกิจการขายสินทรัพย์ได้ต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็น
Posted on: Sun, 21 Jul 2013 23:53:01 +0000

Trending Topics



Recently Viewed Topics




© 2015